เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า นายซอ ฮเต โฆษกรัฐบาลเมียนมา ออกมาปฏิเสธรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสหประชาชาติ(ยูเอ็น)ที่กล่าวหากองทัพเมียนมาว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา โดยชี้ว่าเมียนมาไม่ได้อนุญาตให้คณะทำงานค้นหาข้อเท็จจริงของยูเอ็นเข้ามาในประเทศ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เมียนมาไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับข้อมติใดๆของคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอชอาร์ซี) และว่า รัฐบาลเมียนมาได้ตั้งคณะทำงานไต่สวนอิสระขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาอย่างผิดๆของยูเอ็นและประชาคมระหว่างประเทศ
การตอบโต้ของโฆษกรัฐบาลเมียนมามีขึ้นหลังจากเมื่อวันจันทร์(27 ส.ค.)ที่ผ่านมา คณะทำงานค้นหาข้อเท็จจริงของยูเอ็นเผยแพร่รายงานการสอบสวนข้อเท็จจริงในเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่ของพม่าเมื่อกลางปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลให้ชาวโรฮีนจาที่ถูกกองทัพเมียนมาใช้กำลังรุนแรงเข้าปราบปราม ต้องอพยพหนีออกนอกประเทศเข้าไปยังบังกลาเทศมากกว่า 700,000 คน โดยชี้ว่ามีหลักฐานมากพอที่แสดงให้เห็นว่าการปราบปรามชาวโรฮีนจาดังกล่าวเป็นการล้างเผ่าพันธุ์และเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ พร้อมกับเรียกร้องให้มีการสอบสวนดำเนินคดีพลเอกอาวุโสมิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและนายทหารระดับสูงในกองทัพเมียนมาอีก 5 รายที่เป็นผู้รับผิดชอบในเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น ที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ(ไอซีซี) หรือการตั้งศาลเฉพาะกิจขึ้นมาไต่สวนคดีนี้
ข่าวแจ้งด้วยว่า ในการประชุมของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอสซี) เมื่อวันอังคาร(28 ส.ค.) หลายประเทศรวมถึงสหรัฐอเมริกาที่เรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับผู้นำทหารพม่าตามกระบวนการยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยนางนิกกี เฮลีย์ ทูตสหรัฐประจำยูเอ็น กล่าวถึงรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงในวิกฤตโรฮีนจาที่กระทรวงต่างประเทศสหรัฐจัดทำขึ้นเอง ระบุว่าสิ่งที่พบสอดคล้องกับรายงานของยูเอ็นที่โลกไม่สามารถหลีกเลี่ยงความจริงอันยากลำบากที่เกิดขึ้นนี้ได้
นางเฮลีย์กล่าวว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐได้ทำการสุ่มสอบถามผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจาในค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศจำนวนกว่า 1,000 คน พบว่า ใน 1 ใน 5 พบเห็นเหตุการณ์ที่เหยื่อชาวโรอีนจามากกว่า 100 คนถูกฆ่าตายหรือทำให้ได้รับบาดเจ็บ ในจำนวนนี้ร้อยละ 82 เห็นการเข่นฆ่า อีกมากกว่าครึ่งที่เห็นเหตุความรุนแรงทางเพศ และร้อยละ 45 เห็นการข่มขืน โดยกลุ่มผู้ก่ออาชญากรรมเหล่านี้คือ “กองทัพและกองกำลังฝ่ายความมั่นคงเมียนมา” โดยนางเฮลีย์ยังกล่าวเรียกร้องให้ยูเอ็นเอสซีนำตัวผู้กระทำผิดมารับผิดชอบต่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นด้วย
ด้านนายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการยูเอ็น กล่าวว่า รายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริงของยูเอ็นในเรื่องนี้ ควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง อย่างไรก็ดีเลขาธิการยูเอ็นไม่ได้ใช้คำว่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” แต่กล่าวว่ารายงานของคณะทำงานค้นหาข้อเท็จจริงของยูเอ็นพบรูปแบบของการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเลวร้ายและกระทำโดยกองกำลังฝ่ายความมั่นคง ซึ่งถือเป็นการก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่สุดภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ”
ขณะที่จีนชี้ว่าการวิพากษ์วิจารณ์หรือใช้อำนาจกดดันแต่เพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ช่วยในการแก้ไขปัญหาวิกฤตโรฮีนจาที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด