สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าเจ้าชายซาอิด ราอัด อัล ฮุสเซน ข้าหลวงใหญ่คณะมนตรีสิทธิมนุษชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีเอชอาร์) ระบุเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า นางออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมาเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ควรลาออกจากตำแหน่งสืบเนื่องจากกองทัพเมียนมาใช้ความรุนแรงกวาดล้างชาวมุสลิมโรฮีนจา เมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา
เจ้าชายฮุสเซน แห่งจอร์แดนระบุว่า ข้อแก้ตัวของซูจีเกี่ยวกับประเด็นความรุนแรงกับชาวโรฮีนจานั้นเป็นสิ่งที่น่าเสียใจอย่างยิ่งโดยระบุว่า นาง ซูจี อยู่ในตำแหน่งที่สามารถทำบางสิ่งบางอย่างได้ การนิ่งเฉยเสียหรือแม้แต่การลาออกก็ยังดีกว่าการที่ผู้นำเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมาต้องออกมาทำหน้าที่เป็นโฆษกให้กับกองทัพเมียนมา ซึ่งเป็นการกล่าวพาดพิงถึงคำให้สัมภาษณ์ของซูจีที่เคยพูดถึงประเด็นดังกล่าวไว้ว่า ชาวมุสลิมตกเป็นเป้า แต่ชาวพุทธก็ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงเช่นกัน
การเปิดเผยของเจ้าชายฮุสเซน มีขึ้นหลังองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยรายงานมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา กรณีวิกฤตมุสลิมโรฮีนจาที่ส่งผลให้มีชาวโรฮีนจาอพยพออกจากเมียนมาแล้วกว่า 700,000 คนและมีผู้เสียชีวิตนับพันคนนั้น บรรดาผู้นำทหารเมียนมาควรต้องได้รับโทษต่อสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ พร้อมทั้งกล่าวหานางซูจีว่า ล้มเหลวในการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงดังกล่าวขึ้น อันเป็นข้อกล่าวหาซึ่งทางรัฐบาลเมียนมาออกมาปฏิเสธทันที
นางซูจี วัย73 ปี ผู้นำพรรครัฐบาลที่ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลายเมื่อปี 2558 และดำรงตำแหน่งผู้นำเมียนมาโดยพฤตินัย ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับวิกฤตโรฮีนจาน้อยมาก แม้ถูกกดดันจากนานาชาติให้แสดงท่าทีต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวโรฮีนจาในเมียนมา จนเกิดกระแสเรียกร้องให้ยึดคืนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่ได้รับเมื่อปี 2534
ล่าสุดสถาบันโนเบล ในกรุงออสโลประเทศนอร์เวย์เปิดเผยเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า สถาบันไม่มีความตั้งใจที่จะเพิกถอนรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากนางซูจี เนื่องจากกฎของรางวัลโนเบลไม่ได้เปิดทางให้ยึดรางวัลคืน อย่างไรก็ตามสถาบันโนเบล เรียกร้องให้ทุกฝ่ายทำทุกอย่างเท่าที่เป็นไปได้เพื่อยุติการเลือกปฏิบัติและการประหัตประหารชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย
