สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่าหญิงสาวชาวมาเลเซีย 2 คนถูกโบยเมื่อวันที่ 3 กันยายนจากการเป็นเลสเบียนและมีเซ็กส์กับเพศเดียวกัน เป็นการละเมิดกฎหมายอิสลามที่เคร่งครัด จุดชนวนให้เกิดความโกรธเกรี้ยวจากนักเคลื่อนไหวในเรื่องการลงโทษที่ “ป่าเถื่อนไร้มนุษยธรรมและลดคุณค่า”
หญิงสาวทั้งคู่ที่แต่งกายในชุดขาวและผ้าคลุมศีรษะแบบมุสลิมถูกโบยคนละ 6 ครั้งขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่มีพนักในศาลสูงชะรีอะห์ ในเมืองกัวลาตรังกานู เมืองหลวงของรัฐตรังกานู ประเทศมาเลเซีย โดยคนหนึ่งนั้นถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
นักเคลื่อนไหวรณรงค์ระบุว่านับเป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงในมาเลเซียถูกโบยจากการละเมิดกฎหมายชะรีอะห์ซึ่งห้ามการมีสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน โดยพวกเขาระบุว่ากรณีนี้เน้นย้ำให้เห็นถึงแน้วโน้มที่ย่ำแย่ลงของกลุ่มคนรักร่วมเพศในประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมแห่งนี้
ทั้งนี้ มาเลเซียใช้ระบบ 2 กฎหมายโดยมีศาลชะรีอะห์ในการดูแลตัดสินเรื่องศาสนาและครอบครัวสำหรับพลเมืองชาวมุสลิม เช่นเดียวกับกรณีการมีชู้
ข่าวระบุว่า ผู้หญิงทั้ง 2 คนนี้ที่อายุ 22 และ 32 ปี ถูกจับกุมเมื่อเดือนเมษายนโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายมุสลิมหลังจากพวกเธอถูกพบตัวในรถที่จอดอยู่ในจัตุรัสสาธารณะในรัฐตัรงกานูทางตอนเหนือ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในพื้นที่อนุรักษนิยมมากที่สุดของประเทศ
ทั้งคู่ที่ไม่ได้รับการเปิดเผยตัวตนยอมรับผิดเมื่อเดือนที่แล้วในข้อหาละเมิดกฎหมายมุสลิมและได้รับโทษให้ถูกโบยพร้อมกับปรับเงินอีก 3,300 ริงกิต (ราว 26,000 บาท)
ผู้สื่อข่าวที่อยู่ในศาลรายงานว่า ผู้พิพากษาอ่านคำตัดสินเมื่อเวลาราวก่อน 10.00 น.เล็กน้อยตามเวลาท้องถิ่น หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการได้ใช้ไม้ไผ่ท่อนบางๆ ลงโทษโบยทั้งคู่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากในห้องพิจารณาคดี โดยผู้หญิงคนที่อายุ 22 ปีถึงกับร้องไห้ออกมาขณะที่คนที่อายุ 32 ปี ไม่แสดงอาการตอบสนองใดๆ
การลงโทษครั้งนี้จุดชนวนให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างถล่มทลายโดยองค์การสงเคราะห์สตรีระบุว่า “โกรธเคืองและตกตะลึง” จากการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงครั้งนี้
“กิจกรรมทางเพศระหว่างผู้ใหญ่ 2 คนที่สมยอมกันไม่ควรจะถือเป็นอาชญากรรม ไม่ต้องพูดถึงการลงโทษด้วยการโบยด้วยซ้ำ”
ด้านแอมเนสตีอินเตอร์เนชันแนลระบุว่า เรื่องนี้เป็น “การเตือนถึงเรื่องเลวร้ายของการแบ่งแยกอย่างฝังรากลึกที่กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (แอลจีบีที) ต้องเผชิญในประเทศนี้และเป็นสัญญาณว่ารัฐบาลใหม่ยินยอมให้มีการใช้วิธีการลงโทษที่ไร้มนุษยธรรมและลดคุณค่า เหมือนอย่างรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้
