สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า รายงานของกองทุนสำรองแห่งรัฐหรือธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 กันยายนระบุว่า สงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทำให้ธุรกิจของสหรัฐจำนวนมากตกที่นั่งลำบาก ส่งผลให้บางแห่งต้องชะลอหรือยกเลิกการลงทุนที่วางแผนเอาไว้ออกไป
ผลสำรวจทางเศรษฐกิจที่รู้จักกันในชื่อสมุดปกน้ำตาลอ่อน หรือ “เบจบุ๊ก” ฉบับล่าสุดของเฟด ระบุด้วยว่าขณะที่การขาดแคลนแรงงานในพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศยังส่งผลกระทบให้ยอดขายลดลงและทำให้หลายบริษัทต้องชะลอโครงการออกไป อัตราเงินเฟ้อยังคงเพิ่มสูงขึ้น
รายงานของเฟดที่เก็บข้อมูลจากธุรกิจท้องถิ่นทั่วประเทศระบุว่า เศรษฐกิจของสหรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเติบโตที่ “อัตราเร็วพอประมาณ” ในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่การขยายตัว “ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย” ในแถบเมืองเซนต์หลุยส์และแคนซัสซิตี ขณะที่การผลิตชะลอตัวลงในเขตรอบๆ เมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย
มีการคาดหมายกันเป็นวงกว้างว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อไปในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อท่ามกลางการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ร้อนแรง การจ้างงานที่มั่นคงและอัตราการว่างงานที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้รับคำตำหนิติติงอย่างรุนแรงจากนายทรัมป์
“ธุรกิจโดยทั่วไปยังคงมองในทางบวกเกี่ยวกับภาพรวมในระยะสั้น แม้ว่าในหลายๆ พื้นที่จะแสดงความกังวลออกมาเกี่ยวกับความไม่แน่นอนจากความตึงเครียดด้านสงครามการค้า ไม่เพียงแต่เฉพาะภาคการผลิตเท่านั้น” รายงานระบุ และว่า มีหลายๆ เขตที่ระบุว่า ความกังวลดังกล่าวทำให้ธุรกิจหลายแห่งลดระดับการลงทุนหรือไม่ก็เลื่อนออกไป
