คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส: สังคมอเมริกันกับ 9/11

(AP Photo/Gene J. Puskar)

ทุกวาระครบรอบปี เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ 9/11 กลับมายึดครองพื้นที่สื่อในสังคมอเมริกันได้เสมอ ขณะที่ถูกพูดถึงน้อยลงตามลำดับตามกาลเวลาที่ผ่านไปในต่างประเทศ แม้ว่าเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์ขึ้นใหม่หมาด ผู้นำอเมริกามีความพยายามจะทำให้เหตุการณ์นี้เป็น “สากล” ที่ทุกคนบนโลกต้องคิดเห็นไปในทางเดียวกับอเมริกันทุกคนก็ตาม

ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ ยิ่งนานวันไป นัยของเหตุการณ์ 9/11 ในสังคมอเมริกันเริ่มแตกแยก แตกต่างและหลากหลายมากขึ้นตามลำดับ ยิ่งมีรายงานผลการสอบสวนโดยละเอียดเผยแพร่ออกมา ยิ่งก่อให้เกิดการแตกแขนงทางความคิดออกไปหลากหลายมากยิ่งขึ้น

9/11 ถูกตรวจสอบ พินิจพิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ในหลายๆ ทางมากขึ้น ถูกตีความในหลายแง่มุมมากขึ้น
ข้อกังขาย่อมเพิ่มมากขึ้นตามมา

ตั้งแต่เรื่องของปฏิกิริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์ดังกล่าว พอเหมาะพอควรหรือไม่? หรือกลายเป็น “โอเวอร์ รีแอคชัน” ซึ่งในที่สุดทำให้ คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง อย่าง “โอซามา บินลาเดน” กลายเป็นบุคคลที่น่าสะพรึงกลัว ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกไป

Advertisement

เรื่อยไปจนถึงประเด็นว่าด้วย “ความสำคัญ” ของตัวเหตุการณ์เองต่อสังคมอเมริกันและคนอเมริกัน
9/11 เปลี่ยนโลกทั้งโลกไปจริงหรือ? ควรหรือไม่ที่อเมริกันทุกคนยินยอมให้ 9/11 เปลี่ยนทุกอย่างในชีวิต ในสังคมของตนเอง รวมไปถึงความเชื่อและหลักการของตัวเอง?

นี่ยังไม่นับรวมถึงประเด็นอ่อนไหวว่าด้วยใครแพ้ ใครชนะในเหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถกเถียงกันมากมายในทุกวาระครบรอบปี

ไม่รวมถึงการพิเคราะห์เหตุการณ์นี้ด้วยมุมมองเชิงวัฒนธรรม ในแง่ของพลวัตรทางสังคมที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

Advertisement

ผมพบความเรียงขนาดยาวชิ้นหนึ่งใน “ฟอรีน โพลิซี” ที่เขียนโดย สตีเฟน มาร์ช (Stephen Marche) นักเขียนนวนิยายและนักเขียนความเรียงชาวแคนาดา ที่มีคอลัมน์ประจำอยู่ใน เอสไควร์ รายเดือน และมีผลงานเขียนตีพิมพ์เผยแพร่แล้วหลายเล่ม

เขาใช้วาระครอบรอบ 17 ปีของเหตุการณ์ 9/11 นำเสนอมุมมองใหม่ในหลายๆ ด้าน เชื่อมโยงกับสภาวะสังคมอเมริกันในปัจจุบันไว้อย่างถี่ถ้วน

เพื่อชี้ให้เห็นว่า ทำไมเขาถึงเชื่อว่าผู้ก่อการร้ายถึงสามารถเอาชนะ ยึดกุมจิตใจอเมริกันทั้งมวลได้ในเหตุการณ์วันนั้น

ครับ สตีเฟน มาร์ช เชื่อว่า อัลเคดา ชนะในเหตุการณ์ 9/11

 

 

อันที่จริง ระหว่างสหรัฐอเมริกากับขบวนการก่อการร้ายอัลเคดาห์ ใครแพ้หรือชนะ บ่งบอกได้ยากลำบากมาก ในความคิดของคนทั่วไป ทุกอย่างดูสับสน คลุมเครือ ไม่สามารถชี้ได้ชัดเจน มองจุดเริ่มต้นไม่ออกแถมจุดสิ้นสุดจริงๆ ก็ยังไม่อาจรู้ได้อีกด้วย

สิ่งที่ทางการอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาล จอร์จ ดับเบิลยู บุช พยายาม ผ่านการกระทำหลากหลายอย่างที่ผ่านมา คือ การทำให้เรื่องที่ซับซ้อนสับสนมากเรื่องหนึ่ง กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนเหมือนสีขาวกับสีดำ เหมือนความดีกับความชั่ว เหมือนผู้ร้ายกับพระเอกในภาพยนตร์สปาเก็ตตีคาวบอย

แต่ในมุมมองของ มาร์ช 9/11 คือการทำสงครามด้วย “สื่อ” ต่อสังคมอเมริกันเป็นครั้งแรกในยุคอินเตอร์เน็ต เป้าหมายเพื่อ “เอาชนะ” เหนือจิตใจและความรู้สึกนึกคิดในสังคมอเมริกัน เพื่อ “เปลี่ยนแปลง” มุมมองต่ออัลเคดาห์ ต่อการก่อการร้ายของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรง พร้อมๆ กับการเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดที่สังคมอเมริกันมีต่อรัฐบาลอเมริกัน ต่อกลไกความมั่นคง ทั้งหลายที่ได้รับความเชื่อมั่นตลอดมาว่าสามารถปกปักคุ้มครองทุกคนได้

แพ้หรือชนะ ในแง่นี้ จึงไม่ได้จำกัดอยู่กับการยึดครอง หรือการกวาดล้าง สยบยอมใดๆ อีกต่อไป
แต่เป็นการสร้างความสับสน ความปั่นป่วน แตกแยก ขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นหัวใจของสงครามยุคใหม่ เหมือนกับที่ มาร์แชล แม็คลูแฮน ปัญญาชนแคดาเนีย เคยคาดการณ์เอาไว้

แม็คลูแฮน ชี้ว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 จะเป็น “สงครามกองโจรของข้อมูลข่าวสาร” ที่ “ทหาร” และ “พลเรือน” จะไม่มีการแบ่งแยกกันอีกต่อไป เป้าหมายทางทหารกับเป้าหมายที่เป็นพลเรือน เลอะเลือนเข้าหากันจนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในที่สุด

มาร์ช เชื่อว่า บิน ลาเดน เข้าใจความดังกล่าวนี้ได้ดีที่สุด เห็นได้ชัดเจนที่สุด สะท้อนจากความในจดหมายที่เขียนถึง มุลเลาะห์ โมฮัมหมัด โอมาร์ เมื่อปี 2002 ที่ระบุว่า

“เห็นได้ชัดเจนว่า สงครามสื่อในศตวรรษนี้ เป็นหนึ่งในกรรมวิธีที่แข็งกร้าวที่สุด…จริงๆ แล้ว สัดส่วนของความสำคัญของมันอาจมากถึงระดับ 90 เปอร์เซ็นต์ของการเตรียมการทำศึกทั้งหมดด้วยซ้ำไป”

สิ่งที่มาร์ชพยายามสื่อออกมาก็คือ 9/11 เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งของบิน ลาเดน ที่ต้องการแสดงให้อเมริกันทั้งชาติได้เห็น โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงความคิดของจิตใจของทุกคนตลอดไป

เริ่มต้นจากการเลือก “ทวิน ทาวเวอร์” เป็นเป้าหมาย!

 

 

ทำไมถึงเป็น ตึกระฟ้าแฝดของ เวิร์ลด์ เทรด เซนเตอร์? ทั้งๆ ที่โดยรวมก่อนหน้าปี 1993 ที่นี่ไม่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์ใดๆ ไม่มีนัยสำคัญเชิงวัฒนธรรม เทียบไม่ได้กับอาคารเอ็มไพร์สเตท ไม่มีความงดงามเพียงเป็นตึกคอนกรีตสูงระฟ้า น่าเบื่อคู่หนึ่งเท่านั้นเอง

มาร์ช เชื่อว่า มันถูกเลือกเป็นเป้า เพราะที่ตั้งของมันเท่านั้นเอง มันตั้งอยู่ในจุดที่เหมาะสม ไม่ห่างไกลเกินไปจากศูนย์กลางสื่อขนาดใหญ่ในย่านดาวน์ทาวน์แมนฮัตตัน และไม่ใกล้เกินไปที่จะส่งผลให้ศูนย์กลางดังกล่าวถูกทำลายไปพร้อมๆกับมัน

เวิร์ลด์เทรด เซนเตอร์ ถูกโจมตีเพื่อให้สื่ออเมริกันถ่ายทอดทุกอย่างที่เกิดขึ้นออกไปให้มากที่สุด ละเอียดที่สุด ชัดเจนที่สุด ไปยังเบื้องหน้าของคนอเมริกันทั้งสังคม

ที่น่าสนใจก็คือ คนที่ตระหนักนัยสำคัญของเรื่องนี้เป็นคนแรก ไม่ใช่บิน ลาเดน หากแต่เป็น รามซี ยูเซฟ ผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามก่อวินาศกรรมเวิร์ลด์เทรด เซนเตอร์ ครั้งแรกในปี 1993 หลังจากได้เห็นอาคารแฝดแห่งนี้เป็นครั้งแรกร่วมกับ โอมาร์ อับเดล ราห์มาน ชีคผู้พิการทางสายตา ซึ่งสอนศาสนาอยู่ในนิวเจอร์ซีย์
มาร์ช เชื่อว่า ยูเซฟ มองอาคารแฝดเหมือน “ปล่องควันแห่งเอาช์วิทซ์ กับ แบร์เกน-เบลเซน” สัญลักษณ์แห่งความตายของชาวยิวในอดีต

หลังความล้มเหลวของการวินาศกรรมเวิร์ลด์เทรด เมื่อปี 1993 และถูกจับกุม ความคิดเดียวกันนี้ถูกส่งผ่านให้คนอีก 2 คน หนึ่งคือ คาหลิด ชีค โมฮัมเหม็ด อีกหนึ่งคือ บิน ลาเดน

ราวกลางปี 1996 คาหลิด ชีค โมฮัมเหม็ด ที่มีฐานะเป็น “อา” ของรามซี ยูเซฟ โดยสายเลือด เดินทางไปพบกับ บิน ลาเดน ในซอกหลืบของถ้ำในพื้นที่ โทรา โบรา เทือกเขาห่างไกลทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน
สิ่งที่ คาดหลิด นำเสนอต่อบิน ลาเดน คือส่วนผสมผสานระหว่างแผนการระเบิดเวิร์ลด์เทรดเซนเตอร์กับความคิดฝันของตัวเองที่ฝังอยู่ในหัวมานานแล้ว

คาหลิด ชีค โมฮัมเหม็ด ใฝ่ฝันจะยึดเครื่องบินสัก 10 ลำ หนึ่งในจำนวนนั้นมีเขาเป็นผู้ควบคุม เพื่อเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา “กล่าวสุนทรพจน์ประนามนโยบายของสหรัฐอเมริกาในตะวันออกกลาง” แล้วปล่อยตัวประกันที่เป็นเด็กและผู้หญิง….ความพยายามลอบวินาศกรรมแต่ล้มเหลวของยูเซฟทำให้แผนดังกล่าวถูกปรับเปลี่ยน
เปลี่ยนเป็นสิ่งที่รู้จักกันในเวลาต่อมาในชื่อ 9/11 ซึ่ง คาหลิด กับ บิน ลาเดน ใช้เวลา 2 ปีถกและร่างแผนลงมือทั้งหมดละเอียดยิบร่วมกัน

เหมือนผู้กำกับการแสดงฯ กำลังหารือกับโปรดิวเซอร์ ยังไงยังงั้น แม้ว่าต่อมาโปรดิวเซอร์ จะเป็นผู้ครอบครองผลงานทั้งหมดไว้กับตัวเพียงลำพังก็ตามที

 

 

ในความเห็นของ สตีเฟน มาร์ช อัล เคดาห์ ประสบความสำเร็จ เพราะการตอบโต้แบบ “โอเวอร์รีแอคชัน” ของทางการสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ ปฏิกิริยาตอบโต้ ที่ไม่เพียงเกิดขึ้นจากกรอบคิด ความรู้ความเข้าใจ กับวัฒนธรรมที่หล่อหลอมเป็นแนวคิดของผู้มีอำนาจตัดสินใจอยู่ในเวลานั้นเท่านั้น

หากแต่ยังเกิดขึ้นจากการนำเสนอของสื่อมวลชนในสหรัฐอเมริกา ที่ตอกย้ำทุกอย่างครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่ตลอดเวลา

กับสิ่งที่เป็นหัวใจของความล้มเหลวในครั้งนี้ นั่นคือ ลัทธิ ” อเมริกัน เอ็กเซปชั่นแนลิสม์” ที่มาร์ชระบุว่า ตามประสบการณ์ที่พบพานมา ไม่เคยมีอเมริกันคนใดหลุดออกนอกกรอบนี้ได้หมดจดแม้แต่รายเดียว

คนอเมริกันมีแนวโน้มที่จะคิดอยู่ตลอดเวลาว่า อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา มีความหมายมีความสำคัญมากกว่าที่เกิดขึ้นในที่อื่นใดในโลก

มาร์ช ชี้ว่า สิ่งนี้เป็นภาวะ “สายตาสั้นทางการเมือง” ที่ทำให้ทัศนะโดยรวมที่ครอบคลุมและชัดเจนต่อเหตุการณ์หนึ่งเหตุการณ์ใด เป็นไปไม่ได้เลย แม้ในบรรดา “ผู้ที่มีการศึกษา” ก็ตามที

ปฏิกิริยาต่อ 9/11 ไม่เพียงทำให้สหรัฐอเมริกาต้องสูญเงินเพื่อ “สงครามกับการก่อการร้าย” ไปไม่น้อยกว่า 2. 1 ล้านล้านดอลลาร์เท่านั้น ยังเสียชีวิตคนอเมริกันอีกหลายพันคน กับปฏิบัติการภายใต้นโยบายกร้าว ด้วนกุด ที่สุดที่ว่า “ถ้าไม่เข้าข้างเรา ก็เป็นศัตรูกับเรา” เท่านั้นเอง

สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ทำให้สังคมอเมริกันเปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อตัวเอง พร้อมๆ ไปกับการเปลี่ยนมุมมองของโลก ของคนอื่นๆ ที่มองมายังสหรัฐอเมริกาไปโดยสิ้นเชิง

มาร์ช ยังเชื่อว่า 9/11 เองถูกบิดเบือนไปจากที่ควรจะเป็นสูงมาก กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดของโลก กลายเป็นจุดเปลี่ยนแปลงโลกไปสำหรับคนอเมริกัน

ทั้งๆ ที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ทุกๆ ปี โรคหัวใจคร่าชีวิตคนอเมริกันไปมากถึง 700,142 คน อุบัติเหตุอีก 101,537 คน และไข้หวัดใหญ่อีก 62,034 คน

แต่ไม่เคยมีนัยสำคัญเทียบเท่ากับ 9/11

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ สังคมอเมริกัน ไม่เคยทำความเข้าใจสงครามสื่อ จนตกเป็นเหยื่อและพ่ายแพ้อีกครั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016

ที่ส่งผลสะเทือนสูงมาจนถึงเวลานี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image