นายโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ประกาศแนวนโยบายต่างประเทศหลังกวาดชัยชนะในการเลือกตั้งขั้นต้นทั้ง 5 รัฐ เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา ชูนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” พร้อมกล่าวโจมตีนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ว่าเป็นหายนะและความพินาศโดยสมบูรณ์
ทั้งนี้ ทรัมป์ประกาศว่าตนเองเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐที่น่าจะเป็นไปได้ของพรรครีพับลิกัน และระบุว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องของ “ลัทธิทรัมป์” และทั้งหมดยังคงสามารถเปลี่ยนแปลงได้หากเขาได้รับเลือก อย่างไรก็ดี เนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงเป็นการโจมตีการทำงานของรัฐบาลโอบามาว่าอ่อนแอและสับสนซึ่งเขาตั้งใจจะพลิกฟื้นมัน
ทรัมป์ประกาศว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศสหรัฐที่เต็มไปด้วยสนิมเกรอะกรัง โดยระบุถึงประเด็นสำคัญหลายประเด็น อาทิ เรื่องกองกำลังรัฐอิสลาม หรือไอเอสที่เขาระบุว่าการควบคุมการแพร่ขยายของลัทธิหัวรุนแรงยังคงเป็นนโยบายหลักของสหรัฐและโลก ภายใต้การนำของเขาไอเอสจะพบกับหายนะ แต่เขาไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติมใดๆ
ขณะที่ในประเด็นเรื่ององค์กรสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ทรัมป์ชี้ว่าต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรและหารือเกี่ยวกับการปรับปรุงเรื่องงบประมาณที่สหรัฐให้กับนาโตเสียใหม่ ส่วนการมีปฏิสัมพันธ์กับชาติพันธมิตรนั้น ประเทศที่สหรัฐเข้าไปปกป้องจะต้องจ่ายเงินสำหรับการป้องกันนั้น ไม่อย่างนั้นสหรัฐก็จะปล่อยให้ประเทศเหล่านั้นหาทางป้องกันตนเอง
อย่างไรก็ดี นายจอช เออร์เนส โฆษกทำเนียบขาวออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาของทรัมป์ถึงความล้มเหลวในนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลโอบามา โดยยืนยันว่านโยบายต่างประเทศของรัฐบาลทำให้สหรัฐปลอดภัยและแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าที่โอบามาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในปี 2552 เพราะไม่เพียงแต่ความร่วมมือกับชาติพันธมิตรจะแข็งแกร่งขึ้น แต่นโยบายหันกลับมาให้ความสำคัญกับเอเชียอีกครั้งหนึ่งก็ยังเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐทั้งในแง่ยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจควบคู่กันไป