| ที่มา | น.ส.พ.มติชน รายวัน |
|---|---|
| ผู้เขียน | ศรีสกุล ลีลาพีระพันธ์ |
| เผยแพร่ |
โรงแรมสำหรับคนมีมากแล้ว ตามมาด้วยโรงแรมสำหรับหมา แมว หรืออะไรก็ว่ากันไป คราวนี้มาถึงตาของโรงแรมสำหรับ “ศพ” กันบ้าง
จริงๆ แล้ว ก็พูดให้มันดูดีไปอย่างนั้น จริงๆ แล้ว “โซโซ” หรือที่เรียกกันว่าเป็นโรงแรมสำหรับศพนั้น ก็เป็นสถานที่สำหรับนำศพมาเก็บไว้ก่อนที่จะนำไปเผาเท่านั้น
โซโซ ตั้งอยู่ในย่านชุมชนเมืองคาวาซากิ จังหวัดคานางาวะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจัดพื้นที่ไว้สำหรับให้นำโลงศพมาตั้งไว้ เพื่อรอการฌาปนกิจ และให้ญาติๆ หรือเพื่อนๆ คนรู้จัก ได้มาเคารพศพกันระหว่างรอการเผา ในญี่ปุ่นซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเผาศพมากเป็นพิเศษ
นายฮิซาโอะ ทาเคกิชิ เจ้าของโรงแรมศพแห่งนี้ ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2014 เปิดเผยว่า จริงๆ แล้ว เขาอยากจะสร้างเมรุสำหรับเผาศพด้วย แต่ไม่มีพื้นที่มากพอ ก็เลยเป็นได้เพียงแค่ที่ตั้งโลงศพก่อนนำไปเผาเท่านั้น
สำหรับค่าบริการนั้น คิดเป็นห้องละ 9,000 เยน หรือราวๆ 3,000 บาทต่อ 1 วัน และสามารถตั้งศพไว้ได้ไม่เกิน 4 วันก่อนจะนำไปฌาปนกิจ โดยที่โรงแรมนี้มีห้องสำหรับตั้งศพอยู่ทั้งหมด 10 ห้องด้วยกัน และที่นี่จะมีการตกแต่งที่ไม่เหมือนกับห้องเก็บศพทั่วไป เพราะจะตกแต่งให้เหมือนกับโรงแรม อีกทั้งไม่มีโลงเย็นสำหรับเก็บศพ แต่จะใช้เครื่องปรับอากาศทำความเย็นในห้องแทน
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่โรงแรมสำหรับศพแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ชุมชน จึงทำให้ชาวบ้านในเมืองคาวาซากิไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ ที่มีสถานที่เก็บศพตั้งอยู่ในชุมชนเช่นนี้ อย่างบ้านของโยโกะ มาซุซาวะ วัย 50 ปี ตั้งอยู่หลังโรงแรมโซโซ บอกว่า เคยเรียกร้องให้ทางโรงแรมติดพัดลมระบายอากาศเอาไว้เหนือชั้นล่างสุด แต่กลับไม่ได้รับการตอบรับจากทางโรงแรม
กระนั้นก็ตาม ลูกค้าของโซโซหลายคนก็รู้สึกยินดีที่มีสถานที่สำหรับเก็บร่างของบุคคลอันเป็นที่รักของตนเอาไว้ และเปิดให้ญาติหรือคนรู้จักมาเคารพศพก่อนที่จะนำไปเผาตามพิธีต่อไป
ทั้งนี้ ประเทศญี่ปุ่นถือเป็นสังคมผู้สูงอายุ และมีผู้ที่หมดอายุขัยมากถึงราว 20,000 คนต่อปี และรัฐบาลญี่ปุ่นคาดว่าจำนวนผู้สูงอายุที่หมดอายุขัยเหล่านี้อาจจะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 1.7 ล้านคนต่อปี ในช่วงปี ค.ศ.2040
ด้วยตัวเลขของผู้ที่หมดอายุขัยดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจเกี่ยวกับศพเองก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน รวมไปถึงกิจการของโซโซ เหตุนี้เอง ทาเคกิชิก็เลยมีแผนที่จะสร้างโรงแรมศพขึ้นในเมืองอื่นๆ อีก
ก็ต้องทำให้ “อุปทาน” สอดคล้องกับ “อุปสงค์” ว่างั้น!!
