สำนักข่าวรอยเตอร์รายงนว่า หนังสือพิมพ์ไชน่าเดลีของทางการจีนระบุไว้ในบทบรรณาธิการที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนว่า จีนและสหรัฐอเมริกาสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ชาติ หรือ จี20 ที่ประเทศอาร์เจนตินาในสัปดาห์นี้ได้ แต่รัฐบาลสหรัฐจะต้องมี “จิตใจที่เป็นธรรม” หากต้องการปลดชนวนความตึงเครียดที่เขม็งเกลียวมากขึ้นเรื่อยๆ
“รัฐบาลจีนต้องการข้อตกลงเหมือนที่สหรัฐต้องการ และยินดีที่จะร่วมมือกับสหรัฐในการรับมือกับความกังวลเกี่ยวกับการค้าหากพวกเขามีจิตใจที่เป็นธรรม” ไชน่าเดลีระบุ และว่า “หากจะมีความทะเยอทะยานใดๆ อาทิ การเอาเปรียบด้านการค้าเพื่อบีบคั้นการเติบโตของจีน เมื่อนั้นข้อตกลงจะไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้”
บรรดาผู้นำโลกเริ่มเดินทางถึงกรุงบัวโนสไอเรสของอาร์เจนตินาเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ก่อนหน้าการประชุมจี20 ที่ความตึงเครียดด้านการค้าโลกซึ่งจุดชนวนโดยสงครามการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐกับจีนคาดว่าจะเป็นประเด็นหลักที่ครอบครองวาระการประชุมส่วนใหญ่
ตลาดการเงินและโภคภัณฑ์ต่างเฝ้าจับตาผลการประชุมสุดยอดครั้งนี้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพบปะหารือระหว่างนายทรัมป์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนที่มีกำหนดไว้ในวันที่ 1 ธันวาคม แม้ว่าผลการประชุมจะยังไม่มีความแน่นอนเลยก็ตาม
เดิมพันนั้นสูงมากสำหรับประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก 2 แห่ง โดยข้อมูลของทางการจีนที่เผยแพร่วันเดียวกันนี้ระบุว่าอัตราการเติบโตในภาคการผลิตของจีนหยุดนิ่งเป็นครั้งแรกในรอบมากกว่า 2 ปีในเดือนพฤศจิกายน คำสั่งซื้อสินค้าส่งออกใหม่ลดลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกันอ้างอิงจากผลสำรวจอย่างเป็นทางการของผู้ผลิตจีน
โกลด์แมนแซคส์ระบุว่า ในระยะเวลาอันสั้น กำแพงภาษีของสหรัฐและสงครามการค้าจะเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับการลงทุนในจีนและการอุปโภคบริโภคสินค้าคงทน
ทั้งนี้ นายทรัมป์ส่งสัญญาณที่ผสมผสานกันเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการบรรลุข้อตกลงด้านการค้ากับจีนเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยระบุว่าข้อตกลงนั้นใกล้ประสบผลแล้ว แต่เขาไม่แน่ใจว่าเป็นฉบับที่เขาต้องการหรือไม่ ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยวันเดียวกันว่า หวังว่า “ผลที่ออกมาจะเป็นบวก”
ขณะที่บทบรรณาธิการของไชน่าเดลีระบุว่า แม้จะบรรลุข้อตกลงกันได้ แต่มีแนวโน้มว่าจะไม่เป็นการแก้ปัญหาผ่าทางตันด้านการค้าที่ครอบคลุม เนื่องจาก “มีความต้องการที่หลากหลายมากในวาระการประชุม” โดยอ้างถึงกรณีการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนซึ่งเป็นประเด็นหลักที่สหรัฐกังวล
