ระฆังโบสถ์ 3 ใบของฟิลิปปินส์ ซึ่งถูกกองทัพสหรัฐอเมริกายึดเอาไปในช่วงสงครามเมื่อกว่าร้อยปีก่อน ได้ถูกส่งคืนกลับสู่ประเทศฟิลิปปินส์แล้วเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม ซึ่งมีขึ้นหลังจากผ่านการร้องขอของผู้นำประเทศฟิลิปปินส์มาแล้วหลายคน รวมถึงนายโรดริโก ดูแตร์เต ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนปัจจุบัน ที่มักออกมาโจมตีสหรัฐ ชาติพันธมิตรด้านความมั่นคงที่มีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ทั้งรักทั้งชังกับฟิลิปปินส์มาเนิ่นนาน แต่หันไปคบหาสมาคมใกล้ชิดกับจีน ชาติมหาอำนาจเอเชียที่เป็นคู่แข่งทางยุทธศาสตร์สำคัญของสหรัฐแทน
พิธีส่งมอบระฆัง 3 ใบแห่งบาลังกิกาคืนแก่ประเทศฟิลิปปินส์ของสหรัฐ มีขึ้นที่ฐานทัพอากาศในกรุงมะนิลา โดยมีผู้บัญชาการกองทัพฟิลิปปินส์เป็นผู้รับมอบ นายซอง คิม เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำฟิลิปปินส์ กล่าวว่า การคืนระฆังให้แก่ฟิลิปปินส์เป็นสิ่งถูกต้องที่จะทำและตนรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมในพิธีนี้ที่จะเป็นการปิดฉากบทเรียนแห่งความเจ็บปวดในประวัติศาสตร์ของเรา
ขณะที่นายเจมส์ แมททิส รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ กล่าวว่า การส่งมอบระฆังบาลังกิกาให้แก่ฟิลิปปินส์เป็นการแสดงถึงมิตรภาพอันสำคัญและถือเป็นผลประโยชน์ด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ
ด้านนายเดลฟิน ลอเรนซานา รัฐมนตรีกลาโหมฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ถือเป็นเวลาแห่งการเยียวยา การยุติและการมองไปข้างหน้าสำหรับสองชาติที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกันและในฐานะพันธมิตร ทั้งนี้หลังจาก 117 ปี เสียงระฆังนี้จะดังขึ้นอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ทหารผ่านศึกชาวอเมริกันและเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐหลายรายต่างพากันคัดค้านการส่งคืนระฆังดังกล่าวให้แก่ฟิลิปปินส์ ที่พวกเขามองว่าเป็นรางวัลแห่งชัยชนะและเป็นอนุสรณ์รำลึกถึงทหารอเมริกันที่เสียชีวิตในช่วงสงคราม ขณะที่ระฆัง 3 ใบแห่งบาลังกิกา ที่เป็นชื่อเมืองเล็กๆ บนเกาะซามาร์ของฟิลิปปินส์ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาวฟิลิปปินส์ ทั้งนี้หลังจากฟิลิปปินส์ตกเป็นดินแดนอาณานิคมของสเปนมานานกว่า 3 ศตวรรษ ฟิลิปปินส์ได้ถูกสหรัฐเข้าครอบครองดินแดนในปี ค.ศ.1898 ในช่วงยุคอาณานิคมใหม่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามฟิลิปปินส์-อเมริกัน โดยทหารสหรัฐได้ยึดเอาระฆัง 3 ใบจากโบสถ์คาทอลิกแห่งหนึ่งในเมืองบาลังกิกาไปเพื่อเป็นการแก้แค้น หลังจากถูกชาวบ้านในเมืองดังกล่าวจับอาวุธขึ้นโจมตีต่อสู้และสามารถสังหารทหารอเมริกันไปได้ 48 นายในปี 1901 ซึ่งถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดในการต่อสู้ในครั้งเดียวในยุคนั้นของกองทัพสหรัฐ
ข่าวรอบด้าน กับ Line@มติชนนิวส์รูม คลิกเป็นเพื่อนกัน ได้ที่นี่