สำนักข่าวเอพีรายงานว่า เมื่อวันที่19 ธันวาคมตามเวลาท้องถิ่น กองทุนสำรองแห่งรัฐหรือธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ แต่ส่งสัญญาณว่า คาดว่าจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25 จุดมาอยู่ที่ 2.25-2.50 เปอร์เซ็นต์ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอยู่ในระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ซึ่งหมายถึงต้นทุนในการกู้ยืมสำหรับผู้บริโภคและธุรกิจต่างๆ ก็จะสูงขึ้นด้วย
การตัดสินใจของเฟดมีขึ้นแม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐจะกล่าวโจมตีเฟดในเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดเป็นการส่วนตัว ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
นายทรัมป์ระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจ โดยในการแถลงข่าวหลังการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดครั้งล่าสุดนี้ นายพาวเวลล์กล่าวว่า ทวีตและแถลงการณ์ของนายทรัมป์จะไม่มีผลต่อการกำหนดนโยบายของเฟด
ขณะที่แถลงการณ์ของเฟดวันเดียวกันนี้หลังการประชุมกำหนดนโยบายครั้งล่าสุดระบุว่า มีแนวโน้มในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป “บ้าง” อย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยก่อนหน้านี้ เฟดระบุว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย “อย่างสม่ำเสมออย่างค่อยเป็นค่อยไป”
โดยในการคาดการณ์ฉบับปรับปรุงใหม่ เฟดประเมินว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีหน้า ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีหน้า
ทั้งนี้ เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมั่นคงในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง โดยการปรับขึ้นครั้งล่าสุดเป็นครั้งที่ 9 แล้วนับตั้งแต่ยกเลิกการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเมื่อ 3 ปีที่แล้ว แต่ปัจจัยหลายๆ อย่างที่ผสมผสานกันทั้งการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลก สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอ่อนแอ ราคาหุ้นที่ร่วงลงอย่างรุนแรงทำให้เฟดพิจารณาถึงการชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2019 เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอลงมากเกินไป โดยถึงตอนนี้ การกำหนดนโยบายของเฟดจะยืดหยุ่นมากขึ้นตามข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดที่ออกมา