สำนักข่าวเอเอฟพีและรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พนักงานอัยการและทนายจำเลย เปิดเผยว่า ศาลมาเลเซีย กำหนดเริ่มพิจารณาคดีแรกในจำนวน 42 คดีที่ตนกู นาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียตกเป็นจำเลยพร้อมครอบครัวและพวกในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าใช้อำนาจอย่างบิดเบือน, คอร์รัปชั่นและอื่นๆ ซึ่งเชื่อมโยงถึงกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งรัฐ 1เอ็มดีบี ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์นี้ โดยอดีตนายกรัฐมนตรีวัย 65 ปี ซึ่งพ่ายการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่ผ่านมาอย่างพลิกความคาดหมาย ยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาดังกล่าว
ทั้งนี้ ในการพิจารณาคดีครั้งแรก จะมีการไต่สวนในข้อกล่าวหาต่างๆ รวม 7 ข้อกล่าวหา ที่เกี่ยวเนื่องกับการยักย้ายถ่ายเทเงินจำนวน 42 ล้านริงกิต (ราว 324.87 ล้านบาท) จาก เอสอาร์ซี อินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นหน่วยงานธุรกิจหน่วยหนึ่งในสังกัด 1เอ็มดีบี ไปเข้าบัญชีธนาคารส่วนตัวของ นาจิบ เองแบกเป็น ข้อกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมฟอกเงิน 3 ข้อหา, กระทำผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐละเมิดความไว้วางใจอีก 3 ข้อหา และการใช้อำนาจผู้นำในทางที่ผิดอีก 1 ข้อหา
ในขณะที่ข้อกล่าวหารวมทั้งหมดซึ่งบรรจุอยู่ในคำฟ้องหนาเกือบ 3,000 หน้า นาจิบและพวกถูกกล่าวหาว่า ฉกเงินจำนวนมากถึง 4,500 ล้านดอลลาร์ จากกองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งรัฐของมาเลเซียไปเป็นของตนเองผ่านกลไก ที่เชื่อมโยงกับกองทุนดังกล่าวซึ่งทำให้ขอบเขตกระทำความผิดกว้างขวางมากตั้งแต่สวิตเซอร์แลนด์เรื่อยไปจนถึงหมู่เกาะซีเชลส์ ส่วนหนึ่งของเงินจำนวนดังกล่าวนั้นถูกกล่าวหาว่านไปใช้เพื่อซื้อเรือซุปเปอร์ยอร์ชมูลต่า 250 ล้านดอลลาร์, ซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอ็นด์, ซื้องานศิลป์ที่เป็นฝีมือของจิตรกรระดับโลกอย่าง โมเนต์ และ แวนโกะห์ รวมไปถึงสิ่งของอื่นๆ ที่อยู่ในครอบครองของคนในครอบครัวอดีตนายกรัฐมนตรี
โดยในเอกสารประกอบคำฟ้องของอัยการเกือบ 3,000 หน้านั้นรวมถึงคำให้การของพยาน 26 ปาก ที่ส่วนหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประจำ เอสอาร์ซี และน่าจะถูกเรียกตัวขึ้นให้ปากคำในฐานะพยานในการสอบสวนดังกล่าวนี้
