สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ฝ่ายค้านของเวเนซุเอลาเรียกร้องให้สาธารณชนขัดขืนต่อการประกาศกฤษฎีกาภาวะฉุกเฉินของประธานาธิบดีนิโกลัส มาดูโร ท่ามกลางภาวะที่ประเทศขาดแคลนอาหารและเศรษฐกิจล่มสลาย
สภาแห่งชาติที่ฝ่ายค้านครองเสียงข้างมาก ปฏิเสธกฤษฎีกาในการลงมติในสภา โดยระบุว่าเป็นการทำให้ “การหยุดชะงักอย่างร้ายแรงของระเบียบแบบแผนในเรื่องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยที่เวเนซุเอลาต้องทนทุกข์ทรมานมายาวนานรุนแรงมากขึ้นอีก”
อย่างไรก็ตาม ศาลสูงสุดอาจพิพากษาคว่ำการลงมติดังกล่าวได้เหมือนที่เคยทำมาหลายครั้งในการตัดสินลบล้างการตัดสินใจอื่นๆ ของสภา
นายเอ็นริเก กาปริเลส ผู้นำฝ่ายค้านเวเนซุเอลากล่าวไว้ก่อนการลงมติด้วยว่า กองทัพต้องตัดสินใจว่าจะ “อยู่ข้างรัฐธรรมนูญหรืออยู่ข้างนายมาดูโร” โดยการยื่นคำขาดนี้มีขึ้นในช่วงค่ำวันก่อนหน้าที่จะมีการนัดชุมนุมใหญ่ทั่วประเทศในวันที่ 18 พฤษภาคม เพื่อเรียกร้องให้มีการจัดการลงประชามติขับไล่นายมาดูโรออกจากตำแหน่ง
ทว่านายมาดูโรตอบโต้ในการแถลงข่าวเป็นเวลากว่า 4 ชั่วโมงวันเดียวกัน โดยระบุว่าการลงประชามติดังกล่าว “ไม่สามารถทำได้” และสภาแห่งชาติ “ขาดคุณสมบัติและไร้ความสามารถ” นอกจากนี้ยังกล่าวหาสหรัฐว่ามีบทบาทในความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในเวเนซุเอลา โดยอ้างว่าเครื่องบินสอดแนมของสหรัฐละเมิดน่านฟ้าของเวเนซุเอลาถึง 2 ครั้งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นายมาดูโรกล่าวว่า การออกกฤษฎีกาประกาศภาวะฉุกเฉินที่บังคับใช้เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา และมีผลเป็นเวลา 60 วัน ก็เพื่อขจัดภัยคุกคามประเทศ และสามารถต่ออายุออกไปได้อีกครั้งละ 60 วันซึ่งนายมาดูโรเผยว่า อาจจะมีการบังคับใช้ไปจนถึงปีหน้า โดยมาตรการที่ใช้ภายใต้การประกาศภาวะฉุกเฉินประกอบด้วยการขยายอำนาจให้ทหารและตำรวจในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย
นายมาดูโรยังกล่าวหาการเข้าชื่อเรียกร้องให้มีการจัดการลงประชามติของฝ่ายค้านว่าเต็มไปด้วยลายเซ็นปลอม โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบอยู่ และยังไม่ยืนยันความถูกต้อง โดยฝ่ายค้านกล่าวหากกต.ว่าชะลอเวลาในการดำเนินการ เนื่องจากหากการลงประชามติจัดขึ้นไม่ทันวันที่ 10 มกราคม 2560 จะเป็นการส่งต่ออำนาจให้นายอริสโตบูโล อิสตูริซ รองประธานาธิบดีเวเนซุเอลาในกรณีที่ลงมติขับไล่นายมาดูโรได้สำเร็จ แทนที่จะเป็นการจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่
