ที่มา | เทศมองไทย, มติชนสุดสัปดาห์ |
---|---|
เผยแพร่ |
ผมขอหยิบเรื่อง “คดีคนขายหนังสือ” หายตัวไปลึกลับแล้วไปโผล่อยู่ภายใต้การควบคุมตัวของทางการจีนในกรุงปักกิ่งมาเล่าสู่กันฟังในสัปดาห์นี้ เป็นการผสมผสานจากข้อเขียนเกี่ยวกับกรณีนี้ใน เดลีบีสต์ เมื่อ 20 มกราคมที่ผ่านมาหนึ่งชิ้น กับ ไทม์แม็กกาซีน เมื่อวันที่ 19 มกราคม อีกหนึ่งชิ้น
ที่ว่าเป็น “คนขายหนังสือ” นั่นนะ ก็เป็นคนขายหนังสือจริงๆ เพราะคนที่ “หายตัว” ไปเหล่านี้ เป็นพนักงานของร้านขายหนังสือชื่อดังในฮ่องกงชื่อ “คอสเวย์ เบย์ บุ๊ก บุ๊กสโตร์” จริงๆ แต่ในเวลาเดียวกันก็มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่กับสำนักพิมพ์อยู่ด้วย เพราะหนึ่งในจำนวนนั้นเป็น “เจ้าของร่วม” ของสำนักพิมพ์ที่ชื่อ “ไมตี้ เคอร์เรนต์ มีเดีย” ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในฮ่องกงเช่นเดียวกัน
ทั้งร้านขายหนังสือแล้วก็สำนักพิมพ์ดังกล่าวนี้มี “ส่วนร่วม” ที่ทับซ้อนกันอยู่อย่างหนึ่งนอกเหนือจากความเป็นเพื่อน เป็นมิตรสหายในแวดวงเดียวกันแล้วก็คือ ทั้งร้านขายหนังสือ และสำนักพิมพ์แห่งนี้ ต่างได้ชื่อว่าเป็น “ผู้เชี่ยวชาญในการ ขาย-พิมพ์ หนังสือที่วิพากษ์วิจารณ์บรรดาผู้นำจีน(แผ่นดินใหญ่)” เหมือนๆ กัน
วันดีคืนดี เมื่อวันที่ 30 ธันวาคมที่ผ่านมา “ลี ป๋อ” ผู้ถือหุ้นร้าน คอสเวย์ เบย์ บุ๊ก ที่ถือสัญชาติอังกฤษ ก็ขาดการติดต่อกับภรรยา ว่ากันว่าเช้าวันนั้น นายลีได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมาก เลยเดินทางไปยังคลังเก็บเพื่อจัดเตรียมหนังสือสำหรับส่งมอบ
ย่ำค่ำวันเดียวกัน ภรรยาของนายลีได้รับโทรศัพท์จากผู้เป็นสามีในที่สุด บอกว่า ตัวเองอยู่ในเสิ่นเจิ้น กำลังอยู่ระหว่าง “ช่วยเหลือในการสอบสวนคดีหนึ่ง” และจะเดินทางกลับเร็วๆ นี้ ข้อที่น่าสังเกตก็คือ ภรรยาของนายลีบอกว่า นายลีพูดกับตนด้วยภาษาฝู่ตง ซึ่งไม่ใช่ภาษาจีนที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในเสิ่นเจิ้น ที่ใช้ภาษากวางตุ้ง
อีกประเด็นที่น่าสนใจซึ่ง เดลีบีสต์ หยิบยกมาจาก อาร์ทีเอชเค สถานีวิทยุฮ่องกงรายงานเอาไว้ก็คือ “สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง” ของฮ่องกง ไม่มีบันทึกการเดินทางออกนอกฮ่องกงของนายลี
2 วันผ่านไป นายลียังไม่กลับ ภรรยาเดินทางไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ได้รับคำบอกเพียงว่า นายลีเป็นคนปกติ สามารถเดินทางไปมาระหว่างฮ่องกงกับแผ่นดินใหญ่ได้ตามความพอใจ จึงไม่มีเหตุให้ต้องสอบสวนกรณีนี้แต่อย่างใด
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม ปีที่แล้ว “กุ่ย มิน ไห่” ผู้ถือหุ้นอีกรายของ ครอสเวย์ เบย์ บุ๊ก และเป็นเจ้าของร่วมของสำนักพิมพ์ ไมตี้ เคอร์เรนต์ มีเดีย ที่ถือสัญชาติสวิส กำลังอยู่ระหว่างเดินทางอยู่ในประเทศไทยร่วมกับพนักงานของร้านขายหนังสือของนายลีอีก 3 คน จู่ๆ ก็หายตัวไปเฉยๆ
ในตอนนั้น นายลีเป็นคนให้สัมภาษณ์บีบีซีเอาไว้ว่า “ผมสงสัยว่าคนทั้ง 4 จะถูกควบคุมตัว เป็นไปได้ยังไง คนสี่คนหายตัวไปพร้อมๆ กัน” แต่ตอนนั้นทางการจีนไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธว่า คนทั้งที่อยู่ในการควบคุมของทางการจีนแผ่นดินใหญ่หรือไม่
ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ ลูกสาวของนายกุ่ย ยืนยันว่าจากการตรวจสอบ ไม่พบหลักฐานการเดินทางออกจากประเทศไทยของนายกุ่ย แบบเดียวกันกับกรณีของนายลีเป๊ะ
ที่ทำให้น่าสนใจมากขึ้นไปอีกก็คือ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคมที่ผ่านมา นายกุ่ยไปปรากฏตัวหน้าจอโทรทัศน์ซีซีทีวีของทางการจีน พร้อมกับ “รับสารภาพ” ความผิดที่ตนกระทำไว้เมื่อ 12 ปีก่อน!
นายกุ่ยบอกกับซีซีทีวีว่า ตนมีส่วนรับผิดชอบกับกรณีเมาแล้วขับ-ชนแล้วหนี ที่เมืองหนิงปอ เมืองชายฝั่งทางตะวันออกของจีนเมื่อปี 2003 ที่เป็นเหตุให้นักศึกษามหาวิทยาลัยรายหนึ่งเสียชีวิต ต่อมามีรายละเอียดเปิดเผยผ่านซินหัว สำนักข่าวทางการจีนอ้างว่า นายกุ่ยยอมรับว่าใช้เอกสารประจำตัวปลอมเพื่อเดินทางออกจากจีนหลังเหตุการณ์ดังกล่าว แล้วในที่สุดก็ได้รับสัญชาติสวิส
ที่สำคัญก็คือ ทันทีที่นายกุ่ยสารภาพ ทางการมณฑลกวางตุ้ง ก็ออกมายอมรับในทันทีว่า “นายลี” อยู่ภายใต้การควบคุมตัวของตน
เดลีบีสต์ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า ทั้งกรณีของนายลีและนายกุ่ย (กับพวกอีก 3 ราย) เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้กับบรรดา “คนที่วิพากษ์วิจารณ์จีนอย่างรุนแรง” ทั้งหลายเคยเจอ ไม่ว่าจะกรณีของ เควิน หลอ อดีตบรรณาธิการบริหาร “หมิงเป้า” หนังสือพิมพ์ภาษาจีนชื่อดังในฮ่องกง, กรณีพนักงานของ “เน็กซ์ มีเดีย กรุ๊ป” เจ้าของ “แอปเปิล เดลี” แท็บลอยด์ต่อต้านจีนในฮ่องกง ถูกคุกคามแล้วจับหนังสือเผาทิ้งไป 26,000 ฉบับ เป็นต้น
แต่ไทม์ติดใจกรณีนายกุ่ยเป็นพิเศษ ระบุเอาไว้ว่า ทางการไทยเคยช่วยเหลือทางการปักกิ่งในการเหวี่ยงแหกวาดจับฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลจีนมาโดยตลอด ตั้งแต่การเนรเทศอุยกูร์กว่า 100 คนกลับไปจีน เรื่อยไปจนกระทั่งการส่งฝ่ายค้านทางการจีน 2 คนให้กับทางการปักกิ่ง ทั้งๆ ที่ทั้งคู่อยู่ระหว่างรอการส่งตัวของสหประชาชาติไปยังประเทศที่สาม
แต่ก็บอกด้วยว่า ทางการไทยเตรียมสอบสวนสืบสวนกรณีของนายกุ่ยนี้แล้วว่า ออกนอกประเทศไปได้อย่างไรโดยไม่มีเอกสารระบุตัวตน
ผมเองยอมรับว่ามีคำถามหลายคำถามค้างคาอยู่ในใจเหลือเกิน แต่ขอยังไม่ขยายความในตอนนี้
เพราะเชื่อว่า เรื่องนี้ยังไม่จบแค่นี้แน่นอนครับ!