ยูเอ็นชี้ทศวรรษ 2010 ร้อนทะลุสถิติ ย้ำโลกร้อนกระทบคนหนัก

สหประชาชาติออกมาระบุว่าทศวรรษที่ 2010 เป็นทศวรรษที่มีอุณหภูมิร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยเก็บบันทึกมา โดยข้อมูลดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินประจำปีที่สะท้อนให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกกำลังแซงหน้าความสามารถของมนุษย์ในการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกซึ่งเป็นองค์กรภายใต้สังกัดของสหประชาชาติระบุว่า ปีนี้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงยุคก่อนอุตสาหกรรมในระหว่างปี 1850-1900 ที่ 1.1 องศาเซลเซียส ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวจะทำให้ปี 2019 กำลังจะกลายเป็นปีที่ร้อนที่สุด 3 อันดับแรกเท่าที่เคยมีการจดบันทึกไว้ และมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นปีที่ไม่ได้เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญที่ร้อนที่สุดอีกด้วย

ขณะที่ก๊าซเรือนกระจกซึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์ อาทิ การเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ การปลูกพืชเกษตรที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการขนส่งสินค้า ล้วนแต่มีส่วนทำให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มความเข้มข้นจนแตะระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์อีกเช่นกัน

ขณะที่ท้องทะเลซึ่งเคยเป็นแหล่งดูดซับความร้อนที่เกิดขึ้นจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะนี้ก็มีอุณหภูมิสูงสุดเท่าที่เคยบันทึกมาอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้นทะเลในปัจจุบันมีค่าความเป็นกรดมากกว่าเมื่อ 150 ปีก่อนถึง 25% ซึ่งส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อระบบนิเวศของสัตว์น้ำ ที่ผู้คนหลายพันล้านคนทั่วโลกใช้เป็นแหล่งในการหาอาหารและสร้างรายได้

Advertisement

การที่ค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิโลกในช่วงสี่ทศวรรษหลังเพิ่มสูงกว่าในอดีตจะยิ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกเป็นปรากฏการณ์ที่คนยุคต่อไปจะต้องรับมือ และสร้างผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหมายความว่ามีผู้คนหลายพันล้านคนจะได้รับผลกระทบ

รายงานระบุว่าแค่เพียงครึ่งปีแรกของปี 2019 มีผู้คนมากกว่า 10 ล้านคนที่ต้องกายเป็นคนพลัดถิ่น โดยในจำนวนนี้ 7 ล้านคนได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้น อาทิ พายุ น้ำท่วม และภัยแล้ง และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ผู้ผลัดถิ่นอันเนื่องมาจากสภาพอากาศที่รุนแรงอาจพุ่งสูงแต่ 22 ล้านคน ซึ่งชี้ให้เห็นว่าปี 2019 ถือเป็นอีกปีที่ผลกระทบอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกได้ส่งผลต่อผู้คนอย่างหนักหนาสาหัส

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image