คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส: อังกฤษ บนทาง 2 แพร่ง

REUTERS/Neil Hall

“ชาวอังกฤษ” ที่หมายถึงทุกผู้คนในสหราชอาณาจักรทั้งหมด มีเหตุผลมากมายในอันที่จะ “สนับสนุน” หรือ “คัดค้าน” การผละออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า “เบร็กซิท” ในการลงประชามติครั้งสำคัญที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมี นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ในวันที่ 23 มิถุนายนที่จะถึงนี้

เหตุผลเหล่านั้น ล้วนแต่เชื่อมโยงกับอารมณ์ความรู้สึก เกี่ยวเนื่องกับสำนึกของความเป็น “ชาติ” และ “อัตลักษณ์” แห่ง “เกรทบริเตน-บริเตนที่ยิ่งใหญ่”มากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการออกจากสมาชิกภาพ หรือยังคงอยู่เป็นส่วนหนึ่งของอียู สิ่งที่คนอังกฤษถามตัวเองก็คือ อะไรจะก่อให้เกิดผลดีที่สุดต่ออังกฤษ ไม่ใช่คำถามที่ว่า อะไรคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับอียู หากอังกฤษถอนตัวออกมา แม้กระทั่ง จะเกิดอะไรขึ้นกับระบบการเงินโลก หาก “เบร็กซิท” เกิดขึ้นจริง

เหตุผลสำคัญประการหนึ่งซึ่งคนอังกฤษจำนวนไม่น้อย รวมทั้ง โรบิน ฮันเตอร์-ค็อดดิงตัน ที่ใช้ชีวิตร่วม 2 ทศวรรษอยู่ในภาคพื้นยุโรป เลือกที่จะใช้เป็นสาเหตุในการตัดสินใจลงความเห็นว่าอังกฤษควรผละออกจากอียูก็คือ สหภาพยุโรป ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป อย่างน้อยก็ไม่มีประโยชน์คุ้มกับการต้อง “ยอมทน” กับสิ่งที่พวกตนไม่พึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นความอืดอาดยืดยาดของระบบ ระบอบและวิธีการบริหาร ข้อกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ นานา

ที่สำคัญก็คือ “ข้อเท็จจริงที่ว่า เราไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของตัวเองได้อีกต่อไป”

ADVERTISMENT

สหภาพยุโรป หรืออียู เป็นการรวมตัวขนาดใหญ่ ใหญ่โตมากจนสามารถมีอิทธิพลสูงมาก แต่ในเวลาเดียวกัน ก็เอื้อต่อการเกิดข้อบกพร่อง ผิดพลาดและช่องโหว่มากมาย ปัญหาอย่างหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องยอมรับกันว่าเป็นข้อเท็จจริง ก็คือ ปัญหาคอร์รัปชั่นในประเทศสมาชิกบางประเทศ ที่อียูไม่เพียงแก้ไม่ตก หากแต่ยังปล่อยให้ลุกลามจน หลายคนเชื่อว่าหลายๆ สำนักงานภายในองคาพยพของอียูเองก็ฉ้อฉลตามไปด้วยไม่มากก็น้อย

กระนั้น ความเป็นจริงดังกล่าวก็ยังกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสิ่งที่อังกฤษได้รับจากการเป็นสมาชิกภาพในทรรศนะของชาวอังกฤษหลายคน รวมทั้ง แคธี กัลวิน นักธุรกิจในลอนดอน ที่ชี้ให้เห็นว่าอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของ “ชุมชนโลก” และได้ประโยชน์จากการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนั้นมากเสียจน “ไม่เข้าท่า” อีกต่อไปในการคิดถึงการออกไปอยู่ “ข้างนอก”

ข้อถกเถียงในทำนองนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศ แต่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และขยายออกไปอย่างกว้างขวาง ตั้งแต่ผับชานเมือง เรื่อยไปจนถึงในสถาบันวิชาการที่ได้รับการยกย่องอย่าง ออกซ์ฟอร์ด ตลอดจนถึงในโถงประชุมและริมระเบียงอาคารรัฐสภา

ถกกันในหลายแง่หลากอารมณ์ ทั้งในเรื่อง ผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐาน, นโยบายเศรษฐกิจ, ปัญหาของอำนาจอธิปไตย และจุดยืนกับสถานะของประเทศในสภาวะแวดล้อมโลกที่เคลื่อนไปไม่หยุดยั้งในทุกๆ วินาที

ที่น่าสนใจก็คือ ประชามติครั้งนี้จะส่งผลในทางปฏิบัติมหาศาลมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผลลัพธ์ปรากฏออกมาเป็นการ “ออก”

ความสัมพันธ์ด้านการค้าของอังกฤษ จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร? พันธะผูกพันที่มีอยู่ต่อระบบการป้องกันร่วมกันของอังกฤษต่อองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) และอื่นๆ จะต้องปรับเปลี่ยนมากน้อยแค่ไหน และอย่างไร? ความโกลาหลจะเกิดขึ้นแม้แต่ในแวดวงฟุตบอล และกีฬาแทบทุกชนิด

นี่ยังไม่นับผลสะเทือนที่จะเกิดขึ้นกับสหภาพยุโรปที่เหลือทั้งหมดว่า จะสามารถคงสภาพอยู่ต่อไปได้หรือไม่ หากไม่มีอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของอียูอีกต่อไปแล้ว

เอียน เบกก์ นักวิชาการสถาบันยุโรป จากลอนดอน สคูล ออฟ อีโคโนมิค แอนด์ โพลิติคอล ไซน์ซ บอกเอาไว้ว่า อังกฤษไม่เคยเต็มอกเต็มใจที่จะเป็นส่วนหนึ่งของยุโรปมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาบอกเอาไว้ว่า แรงจูงใจในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งในอียูของอังกฤษนั้นแตกต่างชนิดคนละขั้วกับประเทศอย่าง เยอรมนี หรือฝรั่งเศส ที่เห็นตรงกันในการรังสรรค์ความเป็นหนึ่งเดียวของยุโรป เพื่อเหตุผลสำคัญๆ อาทิ ป้องกันไม่ให้เกิดสงครามขึ้นมาอีก

ในทางตรงกันข้าม แรงจูงใจของอังกฤษ ก็คือการเล็งเห็นว่าการเข้าเป็นภาคีสมาชิกของอียูนั้น “คุ้มค่า” กับข้อแลกเปลี่ยนต่างๆ ของตนเอง

ข้อสนับสนุนอย่างหนึ่งต่อความคิดเห็นข้างต้นนี้ก็คือผลการสำรวจของสำนักโพลต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่า การ “ออก” หรือ “คงอยู่” ในอียูนั้น พอจะจำแนกได้ตามเส้นแบ่งเรื่อง อายุ, การศึกษา, และสถานะทางสังคม

หนุ่มสาวอังกฤษรุ่นใหม่ คนที่ผ่านการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย เรื่อยไปจนถึงผู้มีอาชีพหน้าที่การงานระดับสูง มีแนวโน้มที่จะให้การสนับสนุนการคงอยู่กับอียูต่อไปมากกว่า คนสูงอายุ การศึกษาน้อย และชนชั้นผู้ใช้แรงงาน

นอกเหนือจากนั้นยังสามารถแบ่งได้ตามภูมิภาค ตัวอย่างเช่น สกอตแลนด์ ที่ส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่าควรอยู่ในอียูต่อไป ในขณะที่ชาวอังกฤษทางตะวันออกต้องการผละออกมามากกว่า

ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นเป็นประเด็นสำคัญประการหนึ่งเบื้องหลังการคัดค้านการอยู่เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปต่อไปก็คือ เรื่องของผู้อพยพ ชาวอังกฤษจำนวนไม่น้อยที่เป็นกังวลว่าตนจะสูญเสียตำแหน่งหน้าที่การงานให้กับผู้คนที่โยกย้ายถิ่นฐานเข้ามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศในแถบยุโรปตะวันออก ซึ่งเชื่อกันว่าพร้อมที่จะทำงานแลกกับเงินเดือนต่ำกว่า คนที่เป็นเหมือน “กาฝาก” เกาะกินผลประโยชน์จากระบบสวัสดิการสังคมของประเทศ เพราะอังกฤษ “ใจดี” กับทุกผู้คน

อีกบางคนเชื่อว่าผู้อพยพเหล่านี้จะทำให้ “อัตลักษณ์” ของอังกฤษเลือนหายไป และมีไม่น้อยเช่นกันที่กังวลว่าผู้อพยพจะหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับการก่อการร้าย

ความแตกต่างของแนวความคิดเรื่องนี้ระหว่างคนสองยุคเห็นได้ชัดจากกรณีของสจ๊วร์ตกับบลานช์ ดาวนิง คู่สามีภรรยาจากเคมบริดจ์ ตอนเหนือของลอนดอน ที่ไม่เข้าใจหลานๆ ในวัย 30 เศษๆ ของพวกเขาว่าทำไมถึงได้ปักใจเชื่อว่าการมี “ทุกเชื้อชาติใต้อาทิตย์ดวงนี้” ในอังกฤษคือเรื่องวิเศษวิโส

พวกเขาลืมไปว่าตนเองเติบใหญ่ขึ้นมาภายใต้การอบรมบ่มเพาะความคิดให้ภาคภูมิในประวัติศาสตร์ ในสถาบันและความเป็น “อาณาจักร” ของอังกฤษ

ในขณะที่หลานๆ ของพวกเขาแต่งงานแต่งการกับผู้คนที่มีรากเหง้ามาจากที่อื่น หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีส่วนผสมเชิงชาติพันธุ์หลากหลายออกไป กับโลกทรรศน์ที่กว้างขวางออกไปด้วยเช่นเดียวกัน

ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ เป็นความเป็นจริงแท้แน่นอน แต่ไม่แน่นักว่าจะสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงๆ งานศึกษาวิจัยของ “คอลเลจ ออฟ ลอนดอน” ที่ศึกษาประเด็นผู้อพยพในระหว่างปี 200-2011 พบว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ผู้อพยพก่อผลประโยชน์ให้กับอังกฤษคิดเป็นมูลค่าทางการเงินสูงถึง 20,000 ล้านปอนด์ (ราว 1 ล้านล้านบาท) และยังพบด้วยว่าผู้อพยพที่มาปักหลักในอังกฤษนั้นมี “ทักษะ” สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป

นับตั้งแต่ปี 1995 เรื่อยมา ผู้อพยพมายังอังกฤษ มีระดับการศึกษาโดยรวมสูงกว่าผู้ถือสัญชาติอังกฤษ ตัวเลขในปี 2011 ก็คือ อย่างน้อย 25 เปอร์เซ็นต์ของผู้อพยพเข้ามาจากยุโรปตะวันออกเป็นผู้ได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัย “อย่างน้อย 1 ปริญญา”

ในขณะที่ชาวอังกฤษเพียง 24 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สำเร็จการศึกษาระดับนั้น

การลงประชามติว่าจะคงอยู่หรือลาออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป เริ่มเป็นรูปธรรมขึ้นมา เมื่อ เดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษจากพรรคคอนเซอร์เวทีฟ ให้สัญญาระหว่างหาเสียงเมื่อปี 2015 ว่าจะจัดให้มีการลงประชามติในเรื่องนี้ เพื่อลดทอนความแตกแยกและกระแสผลักดันภายในพรรค

นั่นทำให้บางคนบอกว่า “เบร็กซิท” เหมือนงูที่ขว้างไม่พ้นคอสำหรับคาเมรอน อย่างไรก็ตาม นักวิชาการอีกส่วนหนึ่งเชื่อว่า ไม่ว่าคาเมรอนจะสัญญาเรื่องนี้ไว้หรือไม่ก็ตาม การลงประชามติครั้งนี้ก็ต้องมาถึงจนได้ ไม่ช้าก็เร็ว เห็นได้ชัดจากกระแสเรียกร้องที่เพิ่มมากขึ้นจนเป็นเหตุให้พรรคการเมืองอย่าง ยูเค อินดีเพนเดนท์ หรือยูคิป ที่ถือเรื่องนี้เป็นนโยบายหลัก สามารถกวาดคะแนนเสียงได้ถึง 13 เปอร์เซ็นต์

รากเหง้าของ “สหภาพยุโรป” สามารถสืบสาวย้อนรอยกลับไปยังจุดตั้งต้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ตอนนั้น 6 ชาติที่มีเยอรมนีและฝรั่งเศสเป็นหัวหอก ประกาศรวมตัวกันขึ้นเป็น “ประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้า” โดยคาดหวังว่าจะใช้ “การค้าเสรีและความร่วมมือซึ่งกันและกัน” เป็นเครื่องมือสำคัญในการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและสงครามครั้งใหม่

ปี 1957 ประชาคมดังกล่าวเติบใหญ่กลายเป็นประชาคมเศรษฐกิจแห่งยุโรป (อีอีซี) ที่ตั้งเป้าเพิ่มระดับการบูรณาการทางเศรษฐกิจและรังสรรค์ “ตลาดร่วม” ขึ้นตามมา ในที่สุด “อีอีซี” ก็ถูกดูดกลืนและกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพที่มีสมาชิก 28 ชาติกับเงินตราที่เป็นของตนเอง ซึ่งอังกฤษเลือกที่จะเป็นส่วนหนึ่งของอย่างแรกและปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในอย่างหลัง

อังกฤษไม่ได้มีส่วนร่วมในการก่อตั้งประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้า และกว่าจะเลือกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอีอีซี ก็ละล้าละลังไม่น้อย นั่นทำให้เมื่อปี 1975 มีการลงประชามติกันเป็นครั้งแรกว่า ควรจะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของอีอีซีต่อไปหรือไม่

ตอนนั้นชาวอังกฤษราว 2 ใน 3 เห็นว่าควรจะยังคงเป็นสมาชิกอีอีซีต่อไป แต่การถกเถียงเรื่องนี้ยังไม่ยุติลง ตรงกันข้าม วิกฤตหนี้และวิกฤตเงินยูโร-กรีซ ที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นกับสหภาพยุโรปยิ่งผลักดันให้ความรู้สึกและความคิดที่จะหลุดออกจากสหภาพยุโรปยิ่งแรงกล้ามากขึ้นตามลำดับ

มากจนถึงระดับที่ เดวิด คาเมรอน จำเป็นต้องเสี่ยงจัดให้การลงประชามติครั้งนี้ขึ้นในที่สุด แม้ว่าหลังจากนั้นบรรดาผู้นำคนแล้วคนเล่า ทั้งในภาคพื้นยุโรปและผู้นำของโลก ต่างพากันเตือนตรงกันว่า “เบร็กซิท” มีแต่จะนำพาอังกฤษ อียู หรือกระทั่งโลกทั้งโลกเข้าสู่สภาวะที่ทุกคนไม่คุ้นเคยและพบเห็นกันมาก่อนก็ตาม

ระหว่างการเดินทางเยือนอังกฤษเมื่อเดือนเมษายน บารัค โอบามา ไม่เพียงแสดงความคิดเห็นยกย่องความเป็น “ตลาดเดียว” ของอียูและความมั่นคงปลอดภัยที่เข้มแข็งมากขึ้นภายใต้ร่มเงาของอียูเท่านั้น ยังไปไกลถึงกับเตือนด้วยว่า หากอังกฤษตัดสินใจออกจากอียู สหรัฐอเมริกา อาจไม่สามารถทำความตกลงด้านการค้าใหม่กับอังกฤษได้เร็วพอที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นได้

เช่นเดียวกับที่ คริสตีน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่ยืนยันหนักแน่นว่า ผลสะเทือนหากเกิด “เบร็กซิท” ขึ้นนั้นสามารถคาดการณ์ได้แต่ในทางร้าย คือมีแต่ “ร้ายแรง กับ ร้ายแรงกว่ามากๆ” เท่านั้นเอง

ไอเอ็มเอฟชี้ว่า ผลลัพธ์ของการออกจากการเป็นสมาชิกภาพของอียู อาจทำให้ผลผลิตของเศรษฐกิจโดยรวมของอังกฤษลดลง, รายได้ของประชาชนลดลง, และอัตราดอกเบี้ยในอังกฤษเพิ่มสูงขึ้น

อดีตเลขาธิการองค์การนาโต 5 คน ลงทุนทำจดหมายเปิดผนึก ตีพิมพ์เผยแพร่ผ่าน เดลี เทเลกราฟ เตือนว่า “แม้ว่าการตัดสินใจในเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของชาวอังกฤษเท่านั้น แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เบร็กซิท จะนำไปสู่การสูญเสียอิทธิพลของอังกฤษ บ่อนเซาะสถานะของนาโตและทำให้ศัตรูของโลกตะวันตกอยู่รอดต่อไป”

หลายต่อหลายองค์กรระหว่างประเทศ ทั้งที่เป็นเอกชนและที่เป็นสถาบันไม่แสวงหากำไร พากันเตือนว่า “เบร็กซิท” จะส่งผลในทางซ้ำเติมให้เศรษฐกิจโลกที่กำลังง่อยเปลี้ย ให้ทรุดหนักลงไปอีก และส่งผลกระทบกับตลาดเงินระหว่างประเทศ ไม่มากก็น้อย

และจะยิ่งเสียหายหนักอย่างที่ไม่เคยพบเห็นกัน หาก “เบร็กซิท” กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของ “อียู”ขึ้นมาจริงๆ

แต่ดูเหมือนคนอังกฤษมีปฏิกิริยาต่อคำเตือนเหล่านี้น้อยมาก

นี่เป็นเรื่องของคนอังกฤษ เป็นการตัดสินใจของชาวอังกฤษเท่านั้นเอง!