สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 27 มิถุนายนที่ถือเป็นการเริ่มต้นอันยากลำบากของบรรดาผู้นำหลายชาติในยุโรป เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนอลหม่านหลังการตัดสินใจลงประชามติเพื่อออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ของสหราชอาณาจักร (ยูเค) หรือที่เรียกรวมๆ กันว่าอังกฤษ ด้านนายจอร์จ ออสบอร์น รัฐมนตรีคลังอังกฤษกล่าวว่า อังกฤษไม่ควรจะเริ่มต้นกระบวนการถอนตัวออกจากอียูอย่างเป็นทางการจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่
ในการแถลงข่าวเพื่อพยายามควบคุมความกังวลและตื่นตระหนกของตลาดจากเหตุการณ์ดังกล่าวซึ่งรู้จักกันในชื่อ “เบร็กซิท” นายออสบอร์นย้ำว่า เศรษฐกิจของอังกฤษยังคง “มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง” และ “เปิดกว้างต่อการทำธุรกิจ”
เอเอฟพีอ้างแหล่งข่าวในทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ โอลลองด์ ของฝรั่งเศส และนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ยืนยันว่าผู้นำทั้งสองมีความเห็นพ้องกันอย่างเต็มที่ที่จะจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากแรงสั่นสะเทือนของผลการลงประชามติของชาวอังกฤษที่ออกมาสนับสนุนการถอนตัวออกจากอียูของอังกฤษ โดยผู้นำทั้งสองประเทศต้องการแสดงให้เห็นความชัดเจนอย่างมากที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนใดๆ ที่อาจเกิดขึ้น หลังจากการลงประชามติเบร็กซิทที่ก่อกระแสความรู้สึกช็อกไปทั่วทวีป และผู้นำทั้งสองยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในความริเริ่มของยุโรป รวมถึงการลงมือทำอย่างเร่งด่วนในภารกิจสำคัญที่เป็นรูปธรรมใดๆ ด้วย
ขณะที่มีเสียงเรียกร้องจากนายลูโบมีร์ เซาราเล็ก รัฐมนตรีต่างประเทศสาธารณรัฐเช็ก ที่เห็นควรให้นายฌอง-โคล้ด ยุงเคอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ลาออกจากตำแหน่งหลังเกิดกรณีเบร็กซิท โดยชี้ว่านายยุงเคอร์ล้มเหลวในความพยายามที่จะหยุดยั้งไม่ให้อังกฤษถอนตัวออกจากอียู
ด้านนายสเตฟเฟน ไซแบร์ต โฆษกของนางแมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี แถลงต่อผู้สื่อข่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ จะไม่มีการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการใดๆ ทั้งสิ้นระหว่างอังกฤษกับอียู จนกว่ารัฐบาลอังกฤษจะเริ่มดำเนินกระบวนการขอถอนตัวออกจากอียูด้วยการยื่นร้องขอใช้มาตรา 50 ตามสนธิสัญญากรุงลิสบอนปี ค.ศ.2009 เสียก่อนเท่านั้น โดยคำร้องขอใช้มาตรา 50 จะทำให้คณะมนตรียุโรปร่างแนวทางเพื่อหาฉันทามติในข้อตกลงการขอถอนตัวออกจากอียูของอังกฤษต่อไป
