วิเทศวิถี : ความพอดี

AFP

ปรากฎการณ์แห่งความปั่นป่วนวุ่นวายเกี่ยวกับปฏิบัติการในการนำคนไทยออกมาจากนครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ของจีน ซึ่งเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่เห็นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนถึงความไม่พอดีที่เกิดขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของสังคมไทย ไล่เรียงไปตั้งแต่รัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น จนถึงภาคประชาชน

นับจนถึงวันนี้ที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของไวรัสดังกล่าวกลายเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลก จีนได้ดำเนินมาตรการคุมเข้มหลายประการเพื่อจำกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าว แต่ภายใต้คำประกาศนั้นองค์การอนามัยโลกก็ย้ำความเชื่อมั่นในมาตรการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่จีนนำมาใช้ พร้อมทั้งระบุด้วยว่าไม่มีเหตุผลที่จะไม่เดินทางไปจีน หรือระงับการค้าขายกับจีนอีกด้วย แต่เหตุที่องค์การอนามัยโลกประกาศยกระดับการเตือนภัยก็เพราะหวั่นเกรงเกี่ยวกับการแพร่ระบาดไปยังประเทศต่างๆ นอกจีน โดยเฉพาะประเทศที่มีระบบสาธารณสุขไม่ดีพอ

ต้องยอมรับว่ามาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่จีนนำมาใช้เป็นสิ่งที่ยากจะปรากฏให้เห็นในประเทศอื่น เพราะการสั่งปิดเมืองต่างๆ จนมีประชากรได้รับผลกระทบแล้วมากกว่า 50 ล้านคน การสั่งห้ามคนจีนเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศในระหว่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางแบบกรุ๊ปทัวร์หรือการเดินทางแบบส่วนตัว โดยยังไม่ประกาศกรอบเวลาการสั่งห้ามดังกล่าวว่าจะกินเวลายาวนานเท่าใด หรือแม้แต่การประกาศเดินหน้าสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ขนาด 1,000 เตียง และ 1,500 เตียงตามลำดับภายในเวลาไม่กี่วัน เพื่อรองรับผู้ป่วยไวรัสโคโรนา โดยระดมกำลังคนหลายพันคนเพื่อการนี้ ก็ไม่ใช่ปรากฎการณ์ที่จะพบได้ที่ประเทศอื่นๆ เช่นเดียวกัน

ล่าสุดจีนยังได้ส่งเครื่องบินไปรับชาวจีนที่ตกค้างอยู่ในประเทศต่างๆ เนื่องจากการแพร่ระบาดหนักเกิดขึ้นในช่วงรอยต่อของเทศกาลตรุษจีน ที่ปกติแล้วจะมีคนจีนจำนวนมากเดินทางออกไปท่องเที่ยวทั่วโลก แต่กลับไม่ได้เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นเครื่องบิน หรือไม่ก็เพราะเที่ยวบินตรงกลับจีนถูกยกเลิกไป

Advertisement

ทั้งหมดทั้งมวลนั้นแสดงให้เห็นว่าจีนเป็นประเทศที่รับผิดชอบทั้งต่อประชาชนของตนเอง ต่อสังคม และต่อโลกอย่างน่าชื่นชม เชื่อว่ามาตรการต่างๆ ที่จีนกำลังทำอยู่นี้จะถูกคงไว้ต่อไปจนกว่าที่จีนจะมั่นใจว่าสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว

ในส่วนของไทยในฐานะประเทศที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และเป็นเป้าหมายอันดับต้นของนักท่องเที่ยวจีน สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญสูงสุดอยู่ที่มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาในไทย ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขของไทยก็ได้ดำเนินมาตรการคัดกรองอย่างเข้มข้น ขณะที่ความสามารถในการรับมือกับโรคระบาดและการดูแลรักษาผู้ป่วยของไทยก็อยู่ในลำดับต้นๆ ของโลกเช่นกัน ดังเห็นได้จากที่ไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายของการเดินทางมารักษาตัวของชาวต่างชาติอยู่แล้ว

การรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาผ่านทั้งกระบวนการคัดกรองที่มีประสิทธิภาพ การดูแลผู้ป่วยตามมาตรฐานสากล ไปจนถึงการกำหนดมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสในสถานที่ต่างๆ ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเป็นจำนวนมาก จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งที่อยู่ในไทยอยู่แล้ว และที่กำลังมีแผนจะเดินทางมาเที่ยวไทยในอนาคต

Advertisement

ไม่แปลกที่จะพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในไทยมากเป็นอันดับต้นของโลกนอกประเทศจีน เพราะนักท่องเที่ยวจีนเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ที่เดินทางมาไทย ซึ่งในปี 2562 ที่ผ่านมา ก็สูงถึง 7,665,901 คน สร้างรายได้เกือบ 4 แสนล้านบาท มีเพียงการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความสุขุมรอบคอบเท่านั้น จะช่วยให้ไทยรักษาสถานะเป้าหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยอดนิยมของโลกต่อไปได้

แน่นอนว่าคำสั่งห้ามนักท่องเที่ยวจีนเดินทางออกนอกประเทศย่อมส่งผลกระทบกับตลาดการท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างเลี่ยงไม่พ้น แต่ถ้าเราตระหนักดีว่าคำประกาศของจีนมีขึ้นเพื่อความปลอดภัยของทุกคนและทุกประเทศแล้ว เราควรจะเป็นกำลังใจให้กับจีนในการแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผ่านพ้นไปได้โดยเร็ว

หันกลับมาดูปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและความพยายามในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ท่ามกลางโลกยุคโซเชียลมีเดียที่มีทั้งข่าวมากมายล่องลอยไปมาให้ได้เสพจนสับสนกันไปทั่ว ข่าวสารที่หลั่งไปมาโดยปราศจากการตรวจสอบความถูกต้อง ยิ่งซ้ำเติมความตื่นตระหนกของผู้คนให้กว้างไกลออกไปอีกมาก แม้ว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี) จะตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม และเดินหน้าจับกุมผู้ที่เป็นต้นตอของการปล่อยข่าวปลอมไปแล้ว ซึ่งน่าจะช่วยบรรเทาความพยายามของการนำข้อมูลอันเป็นเท็จสู่เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ไปได้ระดับหนึ่ง แต่ในทางหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ก็ทำให้เราต้องหันกลับมามองว่า เราจะดำรงชีวิตกันอย่างไรท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ข่าวลวง ข่าวปล่อย ไปจนถึงข่าวโคมลอยเช่นในปัจจุบัน

โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางที่ทำให้เรื่องบางเรื่องกลายเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของผู้คนได้อย่างรวดเร็ว ส่งต่อง่าย แต่มีเวลาในการตรวจสอบกลั่นกรองความถูกต้องน้อย แน่นอนว่าโซเชียลมีเดียนั้นทรงอิทธิพลหากใช้ให้ถูกทาง แต่หากใช้กันอย่างผิดๆ ก็จะทำให้การแก้ไขปัญหาอีกหลายอย่างทำได้ยากลำบากมากยิ่งขึ้น

ไม่ต้องอื่นไกล แค่ดูจากปฏิกริยาจากภาครัฐที่สร้างความสับสนเกี่ยวกับการนำคนไทยออกมาจากพื้นที่เสี่ยงในจีน ที่เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าข้อมูลจะไปกันคนละทิศละทาง แน่นอนว่าการดูแลคนไทยเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศก็ได้ดำเนินการเท่าที่ทำได้ไปในระดับหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตั้้งกลุ่ม WeChat เพื่อให้ข้อมูลกับคนไทยในพื้นที่เสี่ยง โดยมีนายแพทย์จากกระทรวงสาธารณสุขคอยให้ข้อมูลและตอบคำถามทางด้านสุขภาพ เพื่อให้ความอุ่นใจกันคนไทยในพื้นที่

อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าการจะนำคนไทยออกมานั้นไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้อย่างรวดเร็วอย่างที่หลายคนคิด เริ่มจากเราไม่มีเจ้าหน้าที่ของสถานทูตไทยอยู่ในพื้นที่มณฑลหูเป่ย์ ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสถานเอกอัครราชทูตไทยในกรุงปักกิ่ง ซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า 1,200 กิโลเมตร เมื่อจีนสั่งปิดเมือง การเดินทางเข้าออกจากหูเป่ย์จะทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากทางการจีนเท่านั้น ซึ่งเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากสถานทูตไทย 3 คนก็ออกเดินทางโดยรถไปยังเมืองอู่ฮั่น ซึ่งอยู่ห่างออกไป 1,200 กิโลเมตรแล้ว คาดว่าจะถึงอู่ฮั่นในช่วงเย็นวันที่ 2 กุมภาพันธ์ จากนั้นก็จะเริ่มภารกิจต่างๆ เพื่อนำคนไทยออกจากพื้นที่ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะได้ยินข่าวดีตามมาในเร็วๆ นี้

คนไทยบางคนบ่นว่าภาครัฐไม่ใช้มาตรการที่เด็ดขาดในการสั่งห้ามนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศ ซึ่งอันที่จริงไม่ต้องห้าม นักท่องเที่ยวจีนก็ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศอยู่แล้ว ในขณะที่ภาคเอกชนก็ออกมาโอดครวญว่ามาตรการห้ามนักท่องเที่ยวของจีนส่งผลให้ไทยขาดรายได้มากกว่า 9 หมื่นล้านบาท บางคนชื่นชมรัฐบาลจีนว่าเก่งกล้าที่สามารถประกาศมาตรการจัดหนักขนาดนี้ได้ แต่เชื่อเถิดว่าถ้ามีการประกาศมาตรการอย่างนี้ในไทย คงมีกระแสด่าทอมากมายตามมา เพราะขนาดแค่งดแจกถุงพลาสติกเมื่อต้นปีก็ยังเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเสียดสีได้เต็มโลกโซเชียล บางคนนำเรื่องการนำคนไทยออกจากจีนไปเปรียบเทียบกับการนำคนไทยออกจากกัมพูชาในเหตุจราจลเผาสถานทูตไทยเมื่อปี 2546 ทั้งที่บริบทของสถานการณ์นั้นมันเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน บางคนอยู่ในจีนบอกว่ารัฐบาลไม่ช่วยเหลือทั้งที่ตนเองไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงเสรีภาพในการแสดงความเห็นอันหลากหลายไร้ข้อจำกัดของเราชาวไทยได้เป็นอย่างดี

ด้านผู้มีอำนาจที่ดูแลเรื่องการท่องเที่ยวไทยรับมือกับแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาด้วยนโยบายกลับลำแบบฟูลเทิร์นชนิดแคทรีนา เกรย์ อดีตนางงามจักรวาลชาวฟิลิปปินส์ ต้นตำรับยังต้องยกนิ้วให้ เพราะจากที่เตรียมเสนอให้ฟรีวีซ่ากับชาวจีน กลายเป็นจะยกเลิกกระทั่งการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองสำหรับนักท่องเที่ยว หรือที่เรียกกันว่าวีโอเอ ให้กับนักท่องเที่ยวจีน หลังจากนโยบายดังกล่าวจะหมดอายุลงในวันที่ 30 เมษายนนี้ ยังดีที่ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจเมื่อวันที่ 31 มกราคม เชิญกระทรวงการต่างประเทศมาให้ความเห็นเป็นกรณีพิเศษ ว่าการดำเนินการเช่นว่าอาจส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ไทย-จีน เพราะอาจทำให้จีนมองว่าเป็นนโยบายที่จะซ้ำเติมในขณะที่จีนกำลังประสบปัญหา จนเรื่องดังกล่าวถูกตีตกไปในที่สุด

การบริหารราชการแผ่นดินในโลกที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นที่ผู้บริหารจะต้องพูดทุกอย่างที่คิด เพียงเพื่อจะเรียกความนิยมหรือตอบสนองต่อกระแสในโลกโซเชียล เพราะในความเป็นจริง ทุกเรื่องทุกราวมีหลายมิติให้ต้องขบคิด ยิ่งกับประเด็นที่มีความอ่อนไหวและเกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยแล้ว ยิ่งควรต้องมีการพิจารณาให้รอบคอบและรอบด้านมากยิ่งขึ้น

คำที่เราพูดไปแล้วจะกลับมาเป็นนายเรา คนพูดจึงควรคิดก่อนพูดเสมอ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image