เว็บไซต์บลูมเบิร์ก รายงานเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ ไวรัสโควิด-19 ที่กำลังระบาดหนักอยู่ในตอนนี้ว่า รัฐบาลต่างๆในภูมิภาคเอเชียกำลังต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ระบุว่า สิงคโปร์มีการสื่อสารที่เข้าถึงสาธารณะ และเป็นแบบอย่างสำหรับประเทศอื่นๆ ในการลดความตื่นตระหนกของประชาชน รวมถึงข่าวลือและทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ
โดยเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการเผยแพร่เทปบันทึกภาพ นายลี เซียน หลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ความยาว 9 นาที ซึ่งนายลีกล่าวว่า “ความกลัวเป็นอันตรายมากกว่าตัวของไวรัสเอง”
ในขณะที่มีรายงานว่าผู้คนพากันเข้าคิวยาวเพื่อซื้อข้าวของกักตุน นายลีได้แสดงให้ประชาชนเห็นว่า สามารถ้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสได้ เช่น การออกกำลังกาย การรักษาความสะอาด ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ให้ความมั่นใจว่าจะมีข้าวของต่างๆที่เพียงพอ
มากกว่านั้น นายลียังให้ความมั่นใจแก่ชาวสิงคโปร์ว่า ไวรัสจะไม่ร้ายแรงเหมือนกับการระบาดของโรคซาร์ส เมื่อปี 2003 และว่า รัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติหากไวรัสมีการระบาดอย่างหนัก เพื่อไม่ให้ผู้คนต้องทะลักโรงพยาบาล ซึ่งรัฐบาลจะแจ้งข้อมูลทุกขั้นตอนที่ทำให้แก่ประชาชนได้รับทราบ
ข่าวระบุว่า หลังจากที่คืนวันศุกร์ ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตเต็มไปด้วยผู้คน แต่หลังจากนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์กล่าว ในวันอาทิตย์ ซุปเปอร์มาร์เก็ตก็กลับสู่สภาวะปกติ แสดงให้เห็นถึงการจัดการอย่างถูกต้อง ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง หยุดยั้งความตื่นตระหนก และความสับสนเกี่ยวกับการปกป้องตัวเองจากการระบาด
ในขณะที่อีกมุมหนึ่ง ที่ฮ่องกง นางแคร์รี หล่ำ ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกง กลับให้ข้อมูลที่สับสน เกี่ยวกับการสวมหน้ากากอนามัย การปิดชายแดนกับจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจ มีกลุ่มพยาบาลออกมาประท้วง ชาวบ้านก่อเหตุรุนแรงเพราะไม่เห็นด้วยกับการจัดสถานที่แยกผู้ต้องสงสัยว่าติดเชื้อ ขณะเดียวกัน ชาวบ้านพากันแห่ซื้อกระดาษชำระ เจลล้างมือ ข้าวและสินค้าอื่นๆเพื่อกักตุน
โดยเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นางหล่ำกล่าวว่า ฮ่องกงยังไม่มีแผนที่จะออกกฎหมายใหม่เพื่อควบคุมสินค้าหน้ากากอนามัยและเรียกร้องให้ประชาชนลดการเสพสื่อโซเชียล พร้อระบุว่า มีชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่เพียง 52 คนที่เดินทางไปฮ่องกงเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ และได้เสนอให้มีการปิดด้านชายแดนทั้งหมด พร้อมขอให้ชาวฮ่องกงอยู่แต่ในบ้านเท่าที่จะทำได้
ส่วนประเทศไทย บลูมเบิร์กได้ยกตัวอย่าง กรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ออกมาขอโทษหลังจากบอกว่าควรจะไล่ชาวต่างชาติที่ไม่ยอมใส่หน้ากากอนามัยออกจากประเทศไทยไป