เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า สมเด็จพระราชาธิบดี ฟิลิปเป แห่งเบลเยียม เสด็จฯพระราชดำเนินไปร่วมประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในฐานะ องค์ประธานกิตติมศักดิ์ของ คณะทำงานกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) แห่งเบลเยียม พระราชทานพระราชดำรัสเรียกร้องให้นานาประเทศให้ความคุ้มครองป้องกันต่อเด็กในพื้นที่สงครามให้ดีขึ้นกว่าเดิม
โดยทรงชี้ให้เห็นว่า ทุกวันนี้ เด็กมากถึง 1 ใน 5 ตกอยู่ในสภาพได้รับผลกระทบทางลบจากความขัดแย้งด้วยอาวุธ กลายเป็นเด็กหญิงและชายที่ต้องหลบหนีจากการสู้รบ พิกลพิการ ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกสังหารและตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงทางเพศ หรือถูกบังคับกะเกณฑ์ให้กลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มติดอาวุธต่างๆ แต่ในเวลาเดียวกันชะตากรรมของเด็กๆเหล่านี้กลับถูกมองข้าม เสียงอ้อนวอน สิทธิและความต้องการของเด็กเหล่านี้ไม่เคยถูกยึดถือและรับผิดชอบ
การปรากฏพระองค์ของพระประมุขแห่งเบลเยียมซึ่งมีพระชนมายุ 59 พรรษา พร้อมพระราชินี มาทิลดา เช่นครั้งนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก โดยหากนับเฉพาะเบลเยียม ต้องถือว่าพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่กล่าวปราศรัยต่อยูเอ็นเอสซี ซึ่งมีมติเป็นเอกฉันท์ในวันเดียวกันนี้ให้ความเห็นชอบคำประกาศประนามการล่วงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยเด็ก รวมทั้งการเกณฑ์เด็กไปใช้ในการสู้รบและการโจมตีต่อสถานศึกษาด้วย
ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นางอิงเกอร์ แอชชิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารชาวสวีเดนของ องค์การเซฟ เดอะ ชิลเดรน ซึ่งเป็นองค์กรการกุศลด้านสิทธิและความปลอดภัยของเด็กทั่วโลก ได้เผยแพร่รายงาน “ยุติสงครามต่อเด็ก” ที่สะท้อนให้เห็นปัญหาในแง่มุมคล้ายคลึงกันนี้ รายงานดังกล่าวระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2005 เรื่อยมา มีเด็กอย่างน้อย 95,000 รายที่มีข้อมูลบันทึกไว้ชัดเจนว่า เสียชีวิตหรือพิการ จากการสู้รบและสงคราม เด็กๆ อีกนับแสนคนถูกลักพาตัว และมีอีกหลายล้านคนถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงการศึกษา หรือบริการด้านสุขภาพ หลังจากโรงพยาบาลหรือโรงเรียนของเด็กๆ เหล่านั้นถูกโจมตีจากฝักฝ่ายในสงคราม
ในรายงานดังกล่าวซึ่งนางแอชลิง เป็นผู้นำเสนอด้วยตัวเอง ระบุว่า ราว 1 ใน 6 ของเด็กๆ ทั่วโลก ซึ่งคิดเป็นจำนวนมากถึง 415 ล้านคน มีชีวิตอยู่ในพื้นที่สงครามในปี 2018 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวนเมื่อปี 1995 ถึงมากกว่าเท่าตัวและนับเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่นับตั้งแต่ปี 2010 เรื่อยมาเหตุล่วงละเมิดต่อเด็กอย่างร้ายแรง เพิ่มจำนวนมากขึ้นถึง 170 เปอร์เซ็นต์ โดยเด็กในแอฟริกาได้รับผลกระทบสูงสุด โดยที่มีมากถึง 170 ล้านคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่การสู้รบ แต่หากนับเป็นสัดส่วนต่อจำนวนประชากรแล้ว เด็กๆ ในตะวันออกกลางได้รับผลกระทบสูงสุด เพราะ 1 ใน 3 ของเด็กทั้งหมดอยู่ภายใต้การโอบล้อมของสงคราม
ในรายงานดังกล่าวระบุว่า ที่ไม่เสมเหตุผลก็คือ รัฐบาลของประเทศต่างๆ พากันนิ่งเฉยในขณะที่เด็กๆ ทั้งหมดต้องเผชิญกับสภาพเช่นนี้ไม่มีการนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ รายงานชิ้นนี้เรียกร้องให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกดำเนินมาตรการต่างๆ ให้มากขึ้นเพื่อให้ความคุ้มครองเด็กๆ ให้รอดพ้นจากผลกระทบจากสงครามและการล่วงละเมิดสิทธิเด็กอย่างรุนแรงในอนาคต
