สหประชาชาติออกมาร้องขอเงินช่วยเหลือมูลค่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 82 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนารับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลกอย่างหนัก
การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรืออังค์ถัด ออกรายงานระบุว่า ขณะนี้ 2 ใน 3 ของประชากรโลกที่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งไม่รวมจีน กำลังเผชิญกับผลกระทบทางเศรษฐกิจในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อันเนื่องมาจากวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19
อังค์ถัดระบุว่า เรื่องดังกล่าวถือว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนที่ประชาคมระหว่างประเทศจะต้องร่วมมือกันในการออกมาตรการกอบกู้เศรษฐกิจที่มีความเหมาะสม ภายใต้การทำงานร่วมกันเพื่อจัดการกับช่องว่างทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากกำลังจะต้องประสบพบเจอในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้เป็นเวลาเพียง 2 เดือนหลังจากที่โควิด-19 ได้มีการแพร่ระบาดออกจากจีน ประเทศกำลังพัฒนาได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการไหลออกของเงิน ค่าเงินลดลง สูญเสียรายได้จากการส่งออก ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลง รวมถึงรายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไป ซึ่งอังค์ถัดระบุว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เลวร้ายยิ่งกว่าวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2551
นายมูคิสะ คิทูยี เลขาธิการอังค์ถัดกล่าวว่า การล่มสลายของเศรษฐกิจกำลังดำเนินต่อเนื่องไป และทำให้การคาดการณ์ทำได้ยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งบ่งชี้ที่ชัดเจนคือทุกอย่างจะยิ่งเลวร้ายหนักขึ้นสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ก่อนที่จะปรับตัวดีขึ้นในภายหลัง
รายงานของอังค์ถัดเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมกันบริจาคเงิน 2.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 82 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนา โดยราว 1 ล้านล้านดอลลาร์จะนำไปใช้ในการเสริมสภาพคล่อง อีก 1 ล้านล้านดอลลาร์ จะใช้สำหรับการบรรเทาภาระหนี้สิน
อย่างไรก็ดีในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศร่ำรวยไม่ได้บริจาคเงินถึง 2 ล้านล้านดอลลาร์ตามที่เคยสัญญาว่าจะให้นำไปใช้ในความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนากับประเทศกำลังพัฒนาแต่อย่างใด