ที่มา | มติชนรายวัน |
---|---|
ผู้เขียน | มนต์ทิพย์ ธานะสุข |
เผยแพร่ |
ไวรัสโควิด-19 ตราบาปใคร?
โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา พลั้งปากเรียก “ไวรัสจีน” เมื่อเอ่ยถึงไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ต้นตอวิกฤตโรคระบาดที่ลุกลามกลืนชีวิตชาวโลกไปมากมายอยู่ในขณะนี้ ก่อนทรัมป์จะเจอกระแสตีกลับจากชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ก็เลยแก้เกี้ยวในภายหลังว่าที่เรียกชื่อไวรัสไปอย่างนั้น เพราะเริ่มระบาดมาจากจีน
ส่วนไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ก็ใช่ย่อย เรียกเต็มปากเต็มคำว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” ทั้งๆ ที่องค์การอนามัยโลกตั้งชื่อไวรัสสายพันธุ์นี้แล้วแบบเรียกง่ายๆ ไว้ว่า “โควิด-19” โดยยึดมั่นในหลักการที่ว่าจะไม่ไปตั้งชื่อโรคตามถิ่นฐานใดที่เริ่มพบการแพร่ระบาด เพราะจะกลายเป็นสร้างตราบาปให้แก่ชุมนท้องถิ่นนั้น
ก่อนสหรัฐจะถูกโฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนซัดกลับว่า อาจเป็นทหารสหรัฐนั่นแหละ ที่นำเชื้อไวรัสนี้เข้ามาในเมือง “อู่ฮั่น” ของจีนเอง
เป็นการทำสงครามน้ำลายสาดกันไปมาของสองชาติมหาอำนาจคู่ปรับโลก ที่ก็ยังลุกลามไปถึงโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งเกิดกระแสชิงชังเกลียดจีนตามมา ลามไปถึงชนชาวเอเชียที่อยู่ในพื้นที่ต่างๆของโลกไปด้วยในเชิงประหนึ่งเป็นตัวแพร่เชื้อโรค
เมื่อวันก่อน “L1ght” บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีที่มีฐานดำเนินงานอยู่ในอิสราเอล เผยแพร่ข้อมูลที่มีการเก็บรวบรวมมาเกี่วกับเรื่องนี้บอกว่า มีการโพสต์ข้อความที่แสดงความเกลียดชังประเทศจีนและคนจีน บนทวิตเตอร์ เครือข่ายสังคมยอดนิยมอีกแพลตฟอร์มหนึ่ง เพิ่มขึ้นมากถึง 900 เปอร์เซ็นต์
“ผู้คนใช้เวลามากขึ้น มากขึ้น บนเครือข่ายสังคม แอพพลิเคชั่นสื่อสาร แชทรูม เกม และบนแพลตฟอร์มต่างๆที่เกี่ยวกับปัญหาของโรคระบาดนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยถ้อยคำแสดงความเกลียดชัง ล่วงละเมิด ทำร้าย และข่มเหงรังแกกันอย่างเด่นชัด” ข้อมูลของ L1ght ระบุ และว่า จากฐานข้อมูลของบริษัทที่ใช้ระบบ “เอไอ” ในการตรวจจับคอนเทนต์อันตรายบนเครือข่ายสังคม พบว่า ความเกลียดชังและการข่มเหงรังแกพุ่งเป้าโดยตรงไปที่จีนและคนจีน รวมถึงคนเชื้อสายเอเชียอื่นๆ
เนื้อหาของการโพสต์ทำร้าย สร้างความเกลียดชังกันบนทวิตเตอร์ เป็นการใช้ถ้อยคำภาษาด่าทอว่าร้ายอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน โดยการกล่าวหาคนเอเชียแบบเหมารวมว่าเป็นตัวแพร่ไวรัสร้าย สะท้อนถึงปมการเหยียดเชื้อชาติ เช่น การโพสต์ข้อความติดแฮชแท็ก #Kungflu หรือ #chinesevirus และ #communistvirus เมื่อมีการทวีตถึงปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
L1ght ยังพบว่า ปริมาณการเข้าถึงเว็บไซต์สายดาร์คที่สร้างความเกลียดชังให้กัน ยังเพิ่มขึ้นมากถึง 200 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการโพสต์ต่างๆ ล้วนเป็นการโพสต์ข้อความต่อต้านชนเอเชีย
จริงๆ การสืบสาวหาต้นตอที่มาของสาเหตุแห่งปัญหา ก็เป็นสิ่งที่จะต้องทำกันอยู่แล้วเพื่อจะได้แก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมตรงจุดและเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการ์ซ้ำรอยขึ้นอีก
แต่ไม่ใช่จะมากล่าวโทษสร้างตราบาปให้กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันแบบนี้…มันไร้ประโยชน์!