วิเทศวีถี : ไร้สำนึก

วิเทศวีถี : ไร้สำนึก

เมื่อช่วงดึกของวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา มีข่าวที่ระบุว่าเกิดสถานการณ์วุ่นวายที่สนามบินสุวรรณภูมิ หลังคนไทย 100 กว่าคน ซึ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศปฏิเสธที่จะเข้าสู่กระบวนการกักตัวของรัฐ 14 วัน กระทั่งต่อมาได้มีทหารยศพลตรีที่มาเจรจายินยอมให้ทุกคนเดินทางกลับบ้านได้ แต่ได้กำชับให้กักตัวอยู่ที่บ้านพัก
ในเนื้อข่าวระบุว่า สาเหตุของปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากกระทรวงการต่างประเทศได้ “ฝ่าฝืนคำสั่ง” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ให้กระทรวงการต่างประเทศชะลอการเดินทางเข้าประเทศของคนไทยและคนต่างชาติ ตั้งแต่วันที่ 2-15 เมษายน แต่ปรากฎว่ากระทรวงการต่างประเทศยังออกใบรับรองให้คนไทยและคนต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยตามปกติ จึงทำให้คนไทยกลุ่มนี้เดินทางกลับเข้ามายังไทยได้ และยังบอกด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเรียกรประชุมด่วนต่อกรณีดังกล่าวในช่วงเช้าวันที่ 4 เมษายน

ต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 4 เมษายน ปรากฎว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้เรียกประชุมด่วนตามที่เป็นข่าว และ นายเชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกมายืนยันว่า กระทรวงไม่ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามที่มีการกล่าวอ้าง เพราะตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน ที่มีการประกาศให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศ สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยทั่วโลก ได้ระงับการออกใบรับรองให้กับคนไทยในต่างประเทศ ซึ่งเป็น 1 ใน 2 เอกสารที่คนไทยต้องมีก่อนที่จะเดินทางกลับไทย ร่วมกับเอกสารสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือในรับรองสุขภาพที่เรียกกันว่า Fit to Fly Health Certificate ที่มีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมง ทั้งยังได้หยุดรับการลงทะเบียนการออกหนังสือรับรองเพื่อเดินทางกลับไทยในทุกช่องทางไปแล้วเช่นกัน

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่า คนไทยกลุ่มที่เดินทางกลับมาในช่วงนี้คือรอยต่อของกลุ่มคนที่ได้รับเอกสารทั้ง 2 ฉบับไปก่อนที่จะมีคำสั่งในวันที่ 2 เมษายน เนื่องจากใบรับรอง Fit to Fly มีอายุใช้งาน 72 ชั่วโมง ดังนั้นรายงานข่าวที่อ้างว่า กระทรวงการต่างประเทศฝ่าฝืนคำสั่งนายกรัฐมนตรีจึงไม่เป็นความจริง อีกทั้งในประกาศของสถานทูตและสถานกงสุลใหญ่ไทยทั่วโลกได้ระบุไว้เช่นกันว่า ผู้ที่เดินทางกลับไทยในช่วงนี้จะถูกกักตัวนทุกกรณีในสถานที่ที่หน่วยงานของรัฐกำหนดเป็นเวลา 14 วัน

ด้านศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ก็ได้ออกมายืนยันเช่นเดียวกันว่า ข่าวที่กระทรวงการต่างประเทศฝ่าฝืนคำสั่งออกเอกสารให้คนเดินทางเข้าประเทศไทยที่มีการโพสต์กันออกไปนั้นเป็นข่าวบิดเบือน และขอความร่วมมือให้ประชาชนอย่าแชร์หรือส่งต่อข่าวนี้ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น

Advertisement

ขณะที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(ศบค.) ยืนยันต่อมาว่า นักท่องเที่ยว 158 รายต่อรองไม่ขออยู่ในที่กักตัวที่รัฐบาลจัดให้ และขอกลับไปพักที่บ้านของตัวเอง โดยล่าสุดมี 6 คนที่ยอมกักตัวในที่ที่รัฐบาลจัดให้ซึ่งเป็นโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ส่วนอีก 152 คนนั้น รัฐบาลขอให้มารายงานตัวภายใน 18.00 น. วันที่ 4 เมษายนนี้ ไม่เช่นนั้นจะถูกดำเนินการทางกฎหมายตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ปัญหาวุ่นวายที่เกิดขึ้นครั้งนี้สะท้อนให้เห็นความ “ไร้สำนึก” ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ตั้งแต่คนไทยที่ปฏิเสธที่จะกักตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ เพราะจะอ้างว่าไม่ได้รับข้อมูลล่วงหน้าหรืออะไรก็ตามที ทั้งที่กระทรวงสาธารณสุขได้ยืนยันว่า ที่มาของโควิด-19 ในไทยคือคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ การขอให้กักตัวไม่ว่าจะที่ใดก็ตามจึงเป็นสิ่งที่ควรจะเข้าใจได้ แล้วมองไม่เห็นหรืออย่างไรว่า ขณะนี้หลายประเทศในโลกที่เชิดชูเรื่องสิทธิเสรีภาพ ก็ยังประกาศมาตรการปิดเมืองและคุมเข้มมากกว่าไทยมากนัก

ขณะเดียวกันเราก็ยังเห็นประชาชนออกมาวิพากษ์วิจารณ์มาตรการคุมเข้มของรัฐบาลที่เริ่มประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศในเวลา 22.00 น.-04.00 น. ว่าไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าไม่ได้สั่งให้หยุดงาน ก็ควรพิจารณาข้อเท็จจริงด้วยว่าแม้จะไม่ได้สั่งให้หยุดงาน แต่ทุกวันนี้ธุรกิจหลายด้านก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเข้าไปเต็มๆ คนตกงานมีอยู่มากมาย ขณะที่คนที่ยังมีงานทำอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะยังมีงานให้ทำไปจนถึงเมื่อไหร่ ถ้าจะบอกว่าการสั่งให้หยุดการทำงานทั้งหมดจะช่วยลดการแพร่ระบาดได้ ก็ไม่แน่ใจว่าคนพูดนั้นมีสติอยู่หรือไม่ เพราะแม้รัฐบาลของประเทศต่างๆ จะออกสารพัดมาตรการเพื่อช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก็ยังไม่รู้ว่าจะช่วยได้สักเท่าไหร่

Advertisement

ยิ่งพอมาเห็นข่าวความวุ่นวายที่สนามบินสุวรรณภูมิที่มีการปล่อยออกมาล่าสุดนี้ ก็ยิ่งสะท้อนใจถึงการทำงานภายใต้การขับเคลื่อนของบางหน่วยงานและพรรคการเมืองบางพรรค ที่อธิบายปัญหาซึ่งเกิดจากการทำงานของตนด้วยการโบ้ยความผิดให้คนอื่น ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงใดๆ ก่อนที่จะมีการให้ข่าว เช่นเดียวกับสื่อที่เขียนข่าวโดยปราศจากความรับผิดชอบเช่นนี้

โควิด-19 เป็นปัญหาระดับโลก ประเทศทุกประเทศต้องร่วมมือร่วมใจกันที่จะรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น ทุกหน่วยงาน ทุกภาคส่วน และทุกองคาพยพของสังคมจะต้องร่วมมือกันเพื่อฝ่าฟันวิกฤตการณ์นี้ไปให้ได้ แต่ยิ่งได้เห็นความเป็นไปในสังคมไทยก็ยิ่งเศร้าสลดใจ

ไม่รู้ว่าประเทศไทยจะขับเคลื่อนกันไปได้ถึงไหน หากความ “ไร้สำนึก” ยังครอบงำสังคมไทยในทุกระดับเยี่ยงนี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image