การประท้วงเพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีที่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาวขาวใช้เข่ากดเข้าไปที่ลำคอจนเสียชีวิตยังคงมีขึ้นในหลายเมืองของสหรัฐ แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาขู่ว่า เขาจะสั่งการให้ทหารพร้อมอาวุธหนักออกมาควบคุมสถานการณ์ก็ตาม
กระทั่งในกรุงวอชิงตัน เมืองหลวงของสหรัฐ ยังคงมีกลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคนไปรวมตัวกันใกล้กับจตุรัสลาฟาแยตซึ่งอยู่ไม่ห่างจากทำเนียบขาว ตะโกนชื่อนายจอร์จ ฟลอยด์ บอกว่าหายใจไม่ออก ตั้งคำถามว่าคุณปกป้องใคร และว่าเหตุการณ์เช่นนี้ต้องไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง
สถานการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นในอีกหลายเมืองทั่วสหรัฐ ไม่ว่าจะในเมืองออร์แลนโด รัฐฟอริดา ที่มีผู้มาร่วมชุมนุมมากกว่า 2,000 คน ส่วนที่เมืองฮิวสตันในรัฐเท็กซัส กลุ่มผู้ประท้วงมารวมตัวกันถึงราว 25,000 คนในเมืองที่เป็นบ้านเกิดของฟลอยด์ เช่นเดียวกับเมืองฟิลาเดลเฟียในเพนซิลเวเนีย เมืองชิคาโกในรัฐอิลลินอยส์ และเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี
อย่างไรก็ดีที่นครนิวยอร์ก ได้มีกลุ่มคนออกบุกปล้นร้านค้าในเกาะแมนฮัตตันตามย่านหรูต่างๆ อาทิ บนถนนหมายเลข 5 ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้านขายสินค้าแบรนด์เนมรวมไปถึงห้างเมซีส์ นอกจากนี้ยังมีผู้ก่อเหตุปล้นร้านบนถนนเมดิสันอีกด้วย
ความวุ่นวายดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนจะถึงเวลาบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิวใน 23.00 น. เป็นเหตุให้นายบิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กตัดสินใจประกาศร่นเวลาเคอร์ฟิวให้เร็วขึ้นเป็น 20.00 น. นับตั้งแต่วันอังคารเป็นต้นไปตามเวลาในสหรัฐ
อย่างไรก็ดีนายบลาซิโอยืนยันว่าเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม และภาพรวมถือว่าอยู่ในความสงบและมีระเบียบเรียบร้อย โดยเขายืนยันว่าให้การสนับสนุนการประท้วงอย่างสันติในนิวยอร์ก แต่เนื่องจากมีผู้คนบางคนที่ออกมาในยามค่ำคืนโดยมีเป้าหมายที่ไม่ใช่การประท้วง แต่เพื่อทำลายข้าวของและทำร้ายผู้อื่นซึ่งเป็นสิ่งที่รับไม่ได้
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่ามีร้านค้าจำนวนหนึ่งที่ถูกทำลาย และตำรวจได้จับกุมผู้ก่อเหตุไปหลายร้อยคน
