เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐอเมริกา สองชาติมหาอำนาจโลกยังคงเต็มไปด้วยความตึงเครียด ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมาขู่จะตัดความสัมพันธ์กับจีนอีกครั้ง ซึ่งมีขึ้นหนึ่งวันหลังจากนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ กล่าวในสภาคองเกรสว่าเขาไม่คิดว่าการตัดสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐกับจีนจะเป็นทางเลือกที่ใช้ได้ผล
“ไม่ใช่ความผิดของทูตไลท์ไฮเซอร์ (เมื่อวานนี้ในคณะกรรมาธิการ) ซึ่งบางทีผมอาจไม่ได้ทำให้ชัดเจน แต่สหรัฐจะรักษาทางเลือกด้านนโยบายไว้ภายใต้หลายเงื่อนไขของการตัดสัมพันธ์จากจีนโดยสิ้นเชิง” ทรัมป์ทวีตเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน หลังจากนายไลท์ไฮเซอร์เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการพิจารณาวิธีการจัดหารายได้ สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐในวันก่อนหน้า ซึ่งมีการซักถามถึงประเด็นความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน โดยนายไลท์ไฮเซอร์กล่าวถึงประเด็นการตัดสัมพันธ์ว่า “เป็นเรื่องที่ซับซ้อน” และว่า เขาไม่คิดว่าจะตัดเศรษฐกิจสหรัฐออกจากเศรษฐกิจจีนได้
“นั่นเป็นทางเลือกด้านนโยบายเมื่อปีก่อน ผมไม่คิดว่าเป็นทางเลือกด้านนโยบายที่เหมาะสมในตอนนี้” ผู้แทนการค้าสหรัฐกล่าว พร้อมแสดงความหวังว่าจะเห็นห่วงโซ่การผลิตย้ายฐานมายังสหรัฐมากขึ้น เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงด้านภาษีและกฎระเบียบหลายอย่างเกิดขึ้น และว่า ข้อตกลงการค้าสหรัฐ-จีนจะก่อผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกอย่างมีนัยสำคัญ และจะทำให้จีนซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐ เสื่อมทรามลงอย่างหนัก จากการเผชิญข้อพิพาทขัดแย้งระหว่างกันหลายเรื่อง ทั้งการรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงในฮ่องกงของจีน และกรณีไต้หวัน โดยเดือนพฤษภาคม ทรัมป์ยังแสดงความแข็งกร้าวด้วยการกล่าวว่า เขายังไม่มีความสนใจที่จะพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในตอนนี้ และยังอาจตัดความสัมพันธ์กับจีนอีกด้วย
