ทำไมอเมริกาแค่”บางรัฐ” นับคะแนนเลือกตั้งช้า?

แฟ้มภาพเอเอฟพี

ทำไมอเมริกาแค่”บางรัฐ” นับคะแนนเลือกตั้งช้า?

แคลิฟอร์เนีย หนึ่งในรัฐที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีประชากรราว 50 ล้านคน นับคะแนนของผู้ใช้สิทธิออกเสียงในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนเพียงแค่ข้ามคืนวันเลือกตั้ง ก็สามารถประกาศผู้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ที่จะได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งของแคลิฟอร์เนีย ทั้ง 55 คนไป เรียบร้อยเบ็ดเสร็จแล้ว

แต่ทำไม รัฐนอร์ทแคโรไลนา ที่ประชากรทั้งรัฐมีเพียง 8 ล้านคน ถึงจนถึงป่านนี้ ยังนับคะแนนไม่แล้วเสร็จ?

ทำไม ระดับความช้าเร็วของการนับคะแนนเลือกตั้งในรัฐแต่ละรัฐของสหรัฐอเมริกาถึงได้แตกต่างกันมากมาย ราวกับอยู่กันคนละประเทศ คนละระบบกันเช่นนี้

คำตอบส่วนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องเชิงโครงสร้างทางการเมืองการปกครองของสหรัฐอเมริกาเอง อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งสำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ สถานการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

Advertisement

ทั้งสองอย่างนั้นประกอบขึ้นเป็นสภาพโกลาหลในอย่างน้อย 5 รัฐ ที่การนับคะแนนยังคงดำเนินไปอยู่ในเวลานี้

และเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม การนับคะแนนช้าในรัฐเหล่านี้ ถึงไม่ได้ส่อให้เห็นว่า กำลังพยายามมีการ “โกงการเลือกตั้ง” กันขึ้นอย่างที่รีพับลิกัน และ โดนัลด์ ทรัมป์ พยายาม”ปั้นแต่ง” ให้เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ

สหรัฐอเมริกา เป็นรัฐในประเภท “สหพันธรัฐ” คือประกอบขึ้นจากรัฐอิสระ50 รัฐ แต่ละรัฐมีอำนาจในการกำหนดสิ่งที่ถือว่าเป็น “กิจการของรัฐ” โดยอิสระ ตามแต่ความเห็นของของรัฐสภาในแต่ละรัฐ และงบประมาณที่แต่ละรัฐมีอยู่

Advertisement

การแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างสถานการณ์พิเศษให้เกิดขึ้นกับการเลือกตั้งครั้งนี้ หลายรัฐผ่อนคลายมาตรการเพื่อกระตุ้นให้มีการลงคะแนนทางไปรษณีย์ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแออัดในวันเลือกตั้ง ป้องกันไม่ให้คูหาเลือกตั้งกลายเป็น “ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” โดยอนุญาตให้ลงคะแนนทางไปรษณีย์ได้แม้ในวันเลือกตั้ง และยืดเส้นตายในการรับไปรษณีย์ในวันดังกล่าวออกไป ระหว่าง 3-10 วัน

แม้ว่ารัฐส่วนใหญ่จะยืนยันว่า บัตรลงคะแนนที่มาถึงหน่วยเลือกตั้งภายในวันเลือกตั้งเท่านั้นที่ถือเป็นบัตรดี และต้องนับคะแนนร่วมด้วยก็ตาม

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อบางรัฐ มีปริมาณการออกเสียงทางไปรษณีย์สูงมาก คาดว่า สัดส่วนโดยรวมอาจอยู่สูงถึง 70 ล้านใบ จากจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ผ่านการใช้สิทธิครั้งนี้กว่า 150 ล้านใบ

หลายรัฐปรับตัวได้ทัน แต่อีกบางรัฐไม่สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ

เพราะบัตรที่ลงคะแนนทางไปรษณีย์ (พับได้ ขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย) แตกต่างออกไปจากบัตรที่ลงคะแนนด้วยตัวเองในคูหาเลือกตั้ง (พับไม่ได้) นั่นไม่เพียงหมายถึงการพิมพ์บัตรใหม่ ใช้กระดาษที่แตกต่างออกไป ยังหมายถึงต้องเพิ่มเครื่องสแกนบัตรแบบใหม่อีกด้วย หน่วยเลือกตั้งจำเป็นต้องขยายขึ้น ต้องมีโต๊ะ เก้าอี้และเจ้าหน้าที่นับเพิ่มขึ้น

ในเวลาเดียวกัน บริษัทบริการไปรษณีย์แห่งสหรัฐอเมริกา (ยูเอสพีเอส) ก็เจอปัญหาอย่างหนัก เพราะจู่ๆ ต้องเจองานการจัดส่งเพิ่มขึ้นพรวดพราดในระยะเวลาสั้นๆ หลายสิบล้านชิ้น ต้องคัดแยกและจัดส่ง ในขณะที่มีการปรับลดพนักงานลงไปตามสภาวะการให้บริการไปก่อนหน้านี้ ผลลัพธ์ก็คือ บัตรเลือกตั้งค้างอยู่ที่ไปรษณีย์เป็นจำนวนมาก มีไม่น้อยที่เดินทางมาถึงหน่วยเลือกตั้ง หลังวันเลือกตั้ง

กฏข้อบังคับที่แตกต่างกัน ทำให้การนับคะแนนช้าเร็วแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

ตัวอย่างเช่น ฟลอริดา รัฐใหญ่อีกรัฐหนึ่ง กำหนดไว้ชัดเจนให้เริ่มนับคะแนนการเลือกตั้งล่วงหน้า “ก่อน” วันเลือกตั้ง ฟลอริดา เป็นรัฐหนึ่งในจำนวนหลายรัฐที่เริ่มนับบัตรที่ลงคะแนนทางไปรษณีย์มาตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม หลงเหลือเพียงไม่มากนักในวันเลือกตั้งและแล้วเสร็จภายในคืนเลือกตั้ง

แต่รัฐอย่าง มิชิแกน ไม่อนุญาตให้ทำอย่างนั้นได้ ต้องเริ่มนับอย่างเร็วที่สุดในวันที่ 2 พฤศจิกายน เพนซิลเวเนียยิ่งแย่กว่า จะนับได้ก็ต่อเมื่อถึงวันเลือกตั้ง คือวันที่ 3 พฤศจิกายน มีอีกจำนวนหนึ่งซึ่งกฎหมายของรัฐกำหนดให้นับบัตรลงคะแนน “ล่วงหน้า” ทั้งหมดหลังจากวันเลือกตั้งจริง ป้องกันไม่ให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกันขึ้นหากเกิดการรั่วไหลของผลการเลือกตั้งล่วงหน้าออกไป

สิ่งที่แตกต่างกันซึ่งส่งผลต่อความเร็ว-ช้าอย่างใหญ่หลวงอีกประการก็คือ ในหลายรัฐ มีระบบตรวจสอบลายเซนด้วยระบบอิเลคทอรนิกส์ บางรัฐไม่มีเครื่องนี้ใช้

ในซองใส่บัตรเลือกตั้งที่ต้องส่งกลับหน่วยเลือกตั้งหลังลงคะแนนแล้วนั้น จำเป็นต้องมีลายเซ็นของผู้ออกเสียงกำกับไว้ด้านนอกซอง ซึ่งต้องตรวจสอบว่าตรงกับฐานข้อมูลหรือไม่ บางรัฐต้องตรวจตราประทับว่า อย่างช้าที่สุดตรงกับวันเลือกตั้ง ไม่ใช่หลังวันเลือกตั้งหรือไม่

คุณลักษณะเบื้องต้นเหล่านี้ใช้เครื่องตรวจสอบได้ แต่ในหลายรัฐไม่มีเครื่องตรวจสอบดังกล่าว ต้องดำเนินการด้วยคนทั้งหมด

หลังจากนั้น จะมีการฉีกซองด้านนอก นำเอาซองใส่บัตรเลือกตั้งออกมา แล้วจึงสอดเข้าเครื่องอ่านบัตรเลือกตั้ง ที่จะเก็บผลการเลือกของแต่ละคน ในแต่ละประเด็นที่ต้องลงคะแนนไปนับรวมกับคะแนนที่นับก่อนหน้านี้

มีบ่อยๆ ที่เมื่อถึงขั้นตอนนี้แล้วเครื่องไม่อ่านบัตร ก็ต้องนำกลับมาให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอีกครั้ง หากพบเป็นบัตรดี ก็ต้องใช้คนเก็บบันทึกคะแนนในการเลือกตั้งนั้นลงไปด้วยตัวเอง ขั้นตอนเหล่านี้ ต้องใช้เจ้าหน้าที่มากกว่า 1 คนเสมอเพื่อความแม่นยำ

มีบางกรณี อย่างเช่น ที่ เซาท์แคโรไลนา เจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้งแห่งหนึ่งจำเป็นต้องนับคะแนนบัตรเลือกตั้งจำนวน 14,000 ใบและบันทึกคะแนนด้วยมือทั้งหมด เนื่องจากเครื่องอ่านบัตรไม่อ่านบัตรเหล่านั้น เพราะพิมพ์บัตรมาผิดเพี้ยนไปจากที่กำหนดให้เครื่องอ่าน

ที่อัลเลเกนีย์เคาน์ตี ในเพนซิลเวเนีย บัตรที่ต้องนับมือมีถึง 30,000 ใบ ถึงขนาดนับไปต้องพักไปกันเลยทีเดียว

ถึงตอนนี้ ต้องย้ำอีกครั้งว่า ในบัตรเลือกตั้ง ที่มีขนาดใหญ่กว่ากระดาษ เอ4 ไม่ได้มีเพียงการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเดียวเท่านั้น, ยังมีรายชื่อสมาชิกสภาคองเกรสให้เลือกในกรณีที่มีการเลือก, นอกเหนือจากนั้นยังมีการเลือกตั้งตำแหน่งในรัฐบาลท้องถิ่้นของแต่ละรัฐ, การเลือกตั้งหัวหน้าสำนักงานตำรวจของรัฐ, ผู้พิกพากษา เรื่อยไปจนถึงเจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ เป็นต้น

ในกรณีที่บางรัฐต้องการทำประชามติในเรื่องหนึ่งเรื่องใด หัวข้อประชามติก็จะปรากฏในบัตรเลือกตั้งนี้เช่นกัน

แกเบรียล สเตอร์ลิง เจ้าหน้าที่เลือกตั้งของรัฐจอร์เจีย สรุปความเอาไว้ชัดเจนว่า

เร็วน่ะดีแน่ เราก็ชอบให้เร็วๆ เหมือนกับคนอื่นๆ แต่สิ่งที่เราชอบมากกว่าก็คือ ความแม่นยำ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image