การเมือง-การต่างประเทศ ในมุมมอง ดอน ปรมัตถ์วินัย

การเมือง-การต่างประเทศ
ในมุมมอง
ดอน ปรมัตถ์วินัย

๐การดำเนินนโยบายต่างประเทศท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ยึดสิ่งใดเป็นสำคัญ

เรามักเน้นเสมอว่ายุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศเป็นส่วนประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติที่แยกกันไม่ออก โดยเฉพาะในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกันไปหมด ที่ผ่านมาเราจึงดำเนินงานด้านต่างประเทศอย่างมีทิศทางที่ชัดเจนในการสนับสนุนวิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ของรัฐบาล ซึ่งเป็นฐานรากสำคัญของการค้ำจุนความวัฒนาสถาพรของประเทศที่มีชาติ ศาสน์ กษัตริย์เป็นเสาหลัก

ความสัมพันธ์ที่ดีกับนานาประเทศโดยมีความสมประโยชน์กัน จึงเป็นแนวทางของการส่งเสริมมิตรไมตรีต่อกัน ประเทศน้อยใหญ่จึงให้คุณค่าอย่างมากต่อการติดต่อปฎิสัมพันธ์กับไทย โดยเฉพาะประจักษ์ชัดในนโยบาย
ที่เปิดกว้าง การปฎิบัติตามมาตรการต่างๆ การติดตามงาน และศักยภาพกับอัธยาศรัยของคน ตลอดจนการรับรู้ถึงอำนาจละมุน (soft power) ที่ไทยมีอยู่ที่พิเศษแตกต่างจากนานาประเทศ เพราะฐานะในระดับโลกของไทยในด้านการท่องเที่ยว อาหาร กีฬา และความสามารถด้านสุขอนามัย การแพทย์และการสาธารณสุข รวมถึงการมีต้นแบบของการให้ความช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ ด้วยการผนวกวาระของโลกคือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) กับภูมิปัญญาไทยที่ส่งเสริมวิถีของ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่ิอการพัฒนาที่ยั่งยืน” และขณะนี้กล่าวได้ว่าไทยมีส่วนช่วยสร้างบรรยากาศระหว่างประเทศที่มีเสถียรภาพและเอื้อต่อความร่วมมือ

เราขับเคลื่อนการต่างประเทศโดยมุ่งให้ประเทศและประชาชน “มี 5 สิ่ง” คือ มีความมั่นคง มีความมั่งคั่งและยั่งยืน มีมาตรฐานสากล มีสถานะและเกียรติภูมิ และมีพลัง การที่ท่านนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับงานต่างประเทศอย่างมากและเชื่อในแนวทางการทูตสมดุล ทำให้เราเดินหน้าทำงานเชิงรุกได้อย่างเต็มที่ โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศที่มีหลักคิดของความสมประโยชน์กับนานาประเทศเพื่อผลลัพธ์ที่สมดุลพร้อมกันไปด้วย

Advertisement

๐ในปีที่ผ่านมาดูเหมือนเหตุวุ่นวายในไทย จะความพยายามในการดึงต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องค่อนข้างมาก อย่างร่างข้อมติของส.ว.สหรัฐ

ข้อมติดังกล่าวตกไปแล้ว ถือว่าจบไปโดยปริยายเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ปกติ ไม่คิดว่าเขาจะมาสนใจประเทศไทย เพราะสถานการณ์ในบ้านเมืองเขาขณะนี้ก็วุ่นวายมากและยังไม่จบ ใครจะมาสนใจปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศอื่น เหตุการณ์ในเมืองไทยมันก็เดินของมันไป ไม่ได้เรียกความสนใจจากชาวโลกถึงขั้นมีคนตาย แต่ตรงกันข้ามอาจถูกปั่นจากผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ส.ว.สหรัฐเขาจะมาสนใจ นอกจากจะมีคนไปเดินเรื่องหรือไปกระตุ้นเขา ซึ่งจากที่ให้คนไปตรวจสอบก็มีล็อบบี้ยิสต์ที่ทำเรื่องนี้

ทั้งหมดนี้ก็รู้กันอยู่ว่าเป็นวิธีที่ทำให้บ้านเมืองไทยมันวุ่นวายขึ้นแบบที่หลายคนมักพูดว่าเอาโลกล้อมประเทศไทยหรือป่าล้อมเมือง ซึ่งผมไม่อยากเห็นอย่างนั้น เพราะถือว่าเป็นการทำร้ายประเทศ ไม่อยากให้การไปเอาต่างประเทศเข้ามาสร้างความเสียหายให้ประเทศไทย ถ้าเป็นผู้ที่หวังดีกับประเทศไทยจะไม่ทำเรื่องเหล่านี้ เพราะเวทีที่ถูกต้องก็มีอยู่คือในสภา ซึ่งเป็นเวทีเปิดทางการเมืองของระบอบประชาธิปไตย และจะเป็นคุณต่อประเทศ เพราะไม่ต้องมานั่งทำร้ายกัน เอาเรื่องมาละเลงบนถนน แล้วทำร้ายประเทศจากภาพความไร้เสถียรภาพ ไร้สันติสุข เพราะพอเกิดเรื่องเช่นนี้คือที่เสียหายคือบ้านเมือง สังคม คนทำมาหากิน เพราะคนจะชะลอการเข้ามาไทย ไม่ว่าการลงทุน ค้าขาย ท่องเที่ยว มองว่าเป็นการทำร้ายประเทศซึ่งน่าเสียดาย ถือเป็นทำลายโอกาสของตัวเอง ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายประเทศชาติ

Advertisement

๐ยูเอ็นบอกว่าต้องไม่ขัดขวางเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน

สภาวะประเทศไทย ณ วันนี้มันเกินทุกเส้นไปไกล หลายประเทศมีนิยามการประท้วงว่าต้องมีการขออนุญาต เป็นไปตามกรอบเวลา อยู่ในพื้นที่ที่จัดไว้ให้อย่างถูกต้อง ไม่ทำลายเศรษฐกิจ การทำมาหากิน มีความสงบเรียบร้อยของประชาชนและบ้านเมือง แล้วบ้านเราอย่างนี้หรือคือการขัดขวางการแสดงออก มีคำถามจากหลายประเทศซึ่งเราไม่มีคำตอบให้เขาว่าทำไมประเทศไทยมีจิตใจการุณ โอนอ่อน เพราะคิดจะทำอะไรก็ทำ เหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป สิ่งที่ทำในไทย ทำในประเทศอื่นได้หรือไม่

คณะทูตที่คุยเขาเห็นใจไม่ใช่มากดดัน เพราะเขารู้มาตรฐานว่าบ้านเมืองเขามันคนละเรื่องกับที่เขาเห็นในบ้านเรา ฉะนั้นใครก็ตามที่จะไปโอดครวญว่าถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพในแง่ของการประท้วง การแสดงออก มันไม่ใช่ เราเป็นคนไทยด้วยกัน แต่ทำไมทำกับประเทศตัวเองได้อย่างนี้ ทำพี่น้องคนไทยด้วยกันติดร่างแหไปหมด ไม่ได้คิดถึงอนาคตของคนอื่น สังคม หรือความเป็นปกติของคนที่จะมีชีวิตเลย รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่เข้าใจประชาธิปไตยมาก โดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรี ท่านให้ความสนใจเรื่องกฎหมาย มีความผ่อนปรนในทุกเรื่องราว พูดแล้วก็สงสารประเทศ สงสารพี่น้องคนไทย

ต้องเข้าใจว่ายูเอ็นหรือใครก็ทำด้วยหลายสาเหตุ บางทีมันมีความเชื่อหรือความเข้าใจไปในทางนั้นก็เขียนมา มันมีความหลากหลาย สำหรับเพื่อนเราแท้ๆ ที่เข้าใจหรือคนที่มีเหตุผล เขาก็จะมองในมุมที่รู้สึกสงสารประเทศไทย เขาก็รู้ว่าเรากำลังต่อสู้กับโควิด-19 เพื่อทำให้คนไทยปลอดภัยและช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่กลับถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาการเมือง

๐มองอย่างไรกรณีท่านทูต 5 ชาติร่วมกันแถลงการณ์กระตุ้นรัฐบาลแก้ไขปัญหาให้นักลงทุนต่างชาติ

ต้องเข้าใจว่าพื้นฐานของท่านทูตสหรัฐท่านเป็นนักธุรกิจเต็มตัว เขามองมุมเดียวคือเรื่องธุรกิจ ในฐานะทูตเขาก็มองว่าอะไรที่ทำให้สิ่งที่เป็นคอขวดสลายไป มีอะไรที่ติดค้างอยู่ในความรู้สึกของนักธุรกิจสหรัฐและนักธุรกิจชาติอื่่นๆ ก็บอกว่ามีอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จริงเขาเอาสิ่งนี้มาบอกกับประเทศไทยเพราะเขาเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ถ้าไปดูข้อมูลย้อนหลังของหอการค้าหรือสถานทูตก็เป็นที่รับรู้กันว่ามีเรื่องเก่าค้างอยู่ตั้งแต่เดือนตุลาคม แต่มันไม่มีการตอบรับกลับมาเพราะมันเป็นประเด็นทางเทคนิคที่ต้องใช้เวลา เขาก็เอาเรื่องนี้มาบอกสื่อ เป้าหมายของเขาเป็นเรื่องหวังดีว่าถ้าเรื่องเหล่านี้ได้รับการแก้ไขก็จะทำให้ประเทศไทยติดอันดับประเทศที่ง่ายกับการประกอบธุรกิจ

ผมคิดว่าเขามองซื่อๆ ตรงๆ และทูตประเทศอื่นก็เห็นชอบไปด้วย เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเก่า เชื่อว่าเขาไม่ได้มีอคติกับประเทศไทยหรือมีเจตนาไม่หวังดี และไม่ใช่การแทรกแซง เพียงแต่วิธีอาจจะแหวกแนว แต่ก็ยังมีคนมองว่าปัจจัยภายนอกเช่นนี้ก็อาจส่งผลดีให้เราแก้ไขปัญหาให้เร็วขึ้น ดังนั้นเราไม่ได้มองว่าเรื่องนี้เป็นการเคลื่อนไหวเพราะมีเจตนามุ่งร้ายแต่อย่างใด

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image