อนามัยโลกชี้ แม้มีวัคซีนโควิดก็ไม่ช่วยก่อภูมิคุ้มกันหมู่ในปีนี้
นักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลกออกมาเตือนว่า การฉีดวัคซีนให้กับคนจำนวนมากไม่ได้ช่วยทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ต่อโควิด-19 ภายในปีนี้
สมยา สวามีนาธาน หัวหน้าคณะนักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก เตือนว่าจะต้องใช้เวลาสักพักกว่าที่จะผลิตและมีวัคซีนเพียงพอที่จะระงับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ ขณะนี้ยังไม่ถึงระดับที่ประชากรส่วนใหญ่จะมีภูมิคุ้มกันจนถึงระดับที่เป็นภูมิคุ้มกันหมู่ภายในปี 2564 นี้
สวามีนาธานยังคงย้ำความจำเป็นที่จะต้องป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการรักษาระยะห่างทางสังคม การล้างมือบ่อยๆ และการสวมใส่หน้ากากอนามัย
การออกมาเตือนของสวามีนาธานมีขึ้นหลังจากที่บริษัทไบออนเทคของเยอรมนีออกมาระบุว่าจะผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 อีกหลายล้านโดส เพิ่มขึ้นจากที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ เพื่อให้จำนวนการผลิตวัคซีนออกสู่ท้องตลาดอยู่ที่ 1.3-2 พันล้านโดส โดยไบออนเทคซึ่งพัฒนาวัคซีนดังกล่าวร่วมกับไฟเซอร์จะรับหน้าที่ในการผลิตวัคซีนป้อนโลกตะวันตก เพื่อแก้ไขปัญหาวัคซีนไม่เพียงพอกับความต้องการ
อย่างไรก็ดีไบออนเทคเตือนว่าโควิด-19 มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ดังนั้นวัคซีนต้องสามารถรับมือกับการกลายพันธุ์ของไวรัสได้ และสามารถที่จะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันที่ร่างกายมนุษย์ขึ้นเองซึ่งจะลดลงตามเวลาที่ผ่านไป
ปัจจุบันมีผู้ติดโควิด-19 สะสมทั่วโลกสูงถึงมากกว่า 91 ล้านคนแล้ว ขณะที่ผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่กว่า 1.9 ล้านคน โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นวันละกว่าครึ่งล้าน แม้หลายประเทศจะเร่งฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ให้กับประชาชนแล้วก็ตาม
อังกฤษเป็นประเทศแรกที่มีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วไป แต่ก็เป็นประเทศที่พบการแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ที่ทำให้แพร่ระบาดได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมถึง 70% ขณะที่ในยุโรป จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่จีนซึ่งเป็นประเทศแรกที่พบการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว แต่ก็ยังปรากฎจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งสูงที่สุดในรอบหลายเดือนเมื่อหนึ่งวันก่อนหน้านี้ กระทั่งต้องมีการประกาศมาตรการล็อกดาวน์ซึ่งกระทบกับผู้คนกว่าครึ่งล้านในกรุงปักกิ่งเมื่อวันจันทร์
