สหรัฐกังวลเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์จากอังกฤษ และแอฟริกาใต้
เมื่อวันที่ 24 มกราคม สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สหรัฐอเมริกากำลังจับตาเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ใกล้ชิดทั้งจากประเทศอังกฤษ และประเทศแอฟริกาใต้ หลังจากนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษออกมาเตือนว่า สายพันธุ์ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในอังกฤษส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นด้วยนอกเหนือจากการแพร่ระบาดได้ง่ายและเร็วแล้ว แต่ยอมรับว่า กำลังเป็นกังวลกับเชื้อกลายพันพันธุ์จากแอฟริกาใต้มากกว่า เพราะส่อเค้าว่าจะส่งผลให้วัคซีนที่ใช้กันอยู่ไม่มีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ นายฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (เอ็นไอเอช) ของสหรัฐอเมริกา ตั้งข้อสังเกตุว่า ด้วยข้อมูลเบื้องต้นเท่าที่มี ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเชื้อกลายพันธุ์ที่อังกฤษ หรือ บี.1.1.7 นั้นจะส่งผลให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิตในสัดส่วนสูงกว่าเดิม เพราะการกลายพันธุ์ของตัวไวรัสเองหรือเป็นเพราะสาเหตุภายนอก เช่น ระบบสาธารณสุขของประเทศถูกกดดันสูงมากเพราะจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดการเสียชีวิตมากขึ้นกันแน่ แต่ยอมรับในเวลาเดียวกันว่า กำลังจับตามองเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด
ทางด้านนายแพทย์แอนโทนี ฟาวซี ที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวในทำนองเดียวกันว่า จำเป็นต้องดูข้อมูลดิบจากอังกฤษก่อนที่จะประเมินอัตราการเสียชีวิตของ บี.1.1.7 ได้แน่ชัด แต่ชี้ว่า ทางเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของสหรัฐอเมริกากำลังหาข้อมูลเพื่อชั่งน้ำหนักอยู่ว่า เชื้อกลายพันธุ์ของอังกฤษหรือของแอฟริกาใต้กันแน่ที่อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีน
“ทั้งสองกรณีเป็นสถานการณ์ร้ายแรงที่เราติดตามอยู่อย่างใกล้ชิด และถ้าจำเป็นเราต้องปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ให้ได้” นายแพทย์ฟาวซีระบุ โดยชี้ให้เห็นว่า ข่าวที่ไม่น่าจะดีนักแน่นอนแล้วก็คือ ผลการศึกษาเบื้องต้นที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 20 มกราคมนี้ที่ว่า เป็นไปได้ที่เชื้อกลายพันธุ์ในแอฟริกาใต้อาจส่งผลให้ประสิทธิภาพในการป้องกันของวัคซีนที่ใช้กันอยู่ในเวลานี้ลดลง และมีโอกาสที่จะเกิดการติดเชื้อซ้ำขึ้นได้
นายแพทย์ฟาวซี เตือนว่า ในกรณีเชื้อกลายพันธุ์จากอังกฤษนั้น แม้ถึงที่สุดแล้วจะไม่ก่อให้เกิดอัตราการตายสูงขึ้น แต่การที่มีผู้ป่วยมากขึ้น ก็จะส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น สุดท้ายก็จะทำให้มีคนตายมากขึ้นอยู่ดี