คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส: เรื่องเล่าจาก ‘เซาธ์ไซด์’

“เซาธ์ไซด์” เป็นส่วนหนึ่งของนครชิคาโก เมืองเอกของรัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา

ชิคาโก แบ่งพื้นที่เมืองออกเป็นสามส่วน มีนอร์ธไซด์ เวสต์ไซด์ แล้วก็เป็น เซาธ์ไซด์ โดยที่ไม่ยักมี อีสต์ไซด์

ที่เรียกว่า “ไซด์” นั้นเป็นเพราะการแบ่งพื้นที่ดังกล่าวนี้ยึดเอาตามแนวลำน้ำชิคาโกและธารสาขาเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ เซาธ์ไซด์ จึงหมายถึง พื้นที่ทางด้านใต้ของแม่น้ำชิคาโกนั่นเอง

ย่านเซาธ์ไซด์ เป็นถิ่นกำเนิดนักการเมืองโด่งดังมากมายในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะผู้นำทางการเมืองที่เป็นแอฟริกัน-อเมริกัน อาทิ แคโรล มอสลีย์ บราวน์ วุฒิสมาชิกสตรีผิวสีคนแรกของประเทศ หรือ เจสซี แจ็คสัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันผิวสีคนแรกที่ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งขั้นต้น แม้จะไม่มากถึงขนาดได้เป็นตัวแทนพรรคก็ตาม

Advertisement

ที่สำคัญก็คือ เป็นถิ่นพำนักของคนอย่าง บารัค โอบามา ประธานาธิบดีอเมริกันผิวสีคนแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ กับนักกฎหมายสตรีที่ชื่อ มิเชล โรบินสัน ซึ่งต่อมากลายเป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง

ย่านเซาธ์ไซด์จึงมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับคนทั้งสอง มากถึงขนาด ริชาร์ด แทนน์ นักเขียน-ผู้กำกับการแสดง สามารถเลือกหยิบเอามาขัดเกลา ร้อยเรียงขึ้นมาเป็นภาพยนตร์ได้หนึ่งเรื่อง ให้ชื่อว่า “เซาธ์ไซด์ วิธ ยู” ออกฉายปฐมฤกษ์ไปเมื่อเดือนมกราคม ในเทศกาลภาพยนตร์อินดี้ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกอย่าง “ซันแดนซ์ ฟิล์ม เฟสติวัล” มีเสียงชื่นชมอยู่ในระดับดีทีเดียว

ชีวิตของคนเราไม่ได้มีเพียงหนึ่งหรือสองด้าน แต่มีหลากแง่หลายมุมอย่างยิ่ง บางคนเปลี่ยนแปลงไปตามขั้นบันไดของชีวิต อีกบางคนปรับเปลี่ยนบุคลิกได้ตามสถานการณ์

บางครั้งเด็ดเดี่ยว เฉียบขาด แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่อยู่ลำพังกับบางคนที่เหมาะสมก็ละเมียดละไมได้อย่างเหลือเชื่อ

โอบามา ใน “เซาธ์ไซด์ วิธ ยู” เป็นอีกแง่ของมุมหนึ่ง เสี้ยวหนึ่งในชีวิตของประธานาธิบดีลำดับที่ 44 ของสหรัฐอเมริกา เมื่อครั้งยังเป็น “นาย” บารัค โอบามา อายุ 27 ปี ที่เพิ่งสำเร็จปริญญากฎหมายจากฮาร์วาร์ด กับ “นางสาว” มิเชล โรบินสัน ทนายสาวคนขยันที่จบกฎหมายจากปรินซ์ตัน ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างน่าทึ่งในสำนักงานกฎหมาย ซิดลีย์ ออสติน เพราะที่เหลือทั้งหมดล้วนแล้วเเต่เป็นผู้ชายและผิวขาวทั้งสิ้น

มิเชล โรบินสัน ได้รับมอบหมายในท่วงทำนอง “ไม่เป็นทางการ” นักจากเจ้านายในสำนักงาน ให้ทำหน้าที่ “พี่เลี้ยง” ให้กับทนายฝึกหัดผิวสีที่เพิ่งมาใหม่ในหน้าร้อนนั้น

นั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องเล่าที่ตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นตำนานแห่งเซาธ์ไซด์ ไปแล้ว เป็นเรื่องเล่าโรแมนติกที่ห่างไกลจากการเมืองทั้งนอกและในสหรัฐอเมริกาอีกต่างหาก

คำถามสำคัญคือ ส่วนไหนในหนังเรื่องนี้ที่เป็นความจริง และตรงไหนกันที่ถูกปั้นแต่งขึ้นเพื่อความเป็น “ดราม่า”?

โกลบอล-20สค-1

ริชาร์ด แทนน์ ผู้กำกับและเป็นคนทำบทภาพยนตร์เรื่องนี้ บอกเอาไว้ว่า เรื่องราวทั้งหมดที่กอปรขึ้นเป็น “เซาธ์ไซด์ วิธ ยู” เป็นการประมวลเอาจากบันทึกที่เป็นสาธารณะกับการสอบถามสัมภาษณ์ผู้คนที่เกี่ยวข้อง

“ราว 90 เปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง” เขายืนยัน

ในข้อเขียนว่าด้วยประวัติความเป็นมาที่ วอชิงตัน โพสต์ บันทึกเอาไว้นั้น มิเชลบอกกับผู้เป็นมารดาในหน้าร้อนที่จำเป็นต้องต้อนรับทนายใหม่ปีนั้นว่า เธอยังอยากทุ่มเวลาให้กับการทำงานในอาชีพของตัวเองมากกว่าที่จะมานั่งคิดเรื่อง “ออกเดต” ไม่ว่ากับใคร

เป็นที่รู้กันว่า มิเชล ปฏิเสธมาโดยตลอดว่าการทำหน้าที่กลายๆ ของเธอในวันนั้นไม่ใช่การออกเดตและตั้งใจมั่นจะไม่ให้ “การทำงาน” หนนั้นกลายเป็นการเดต แล้วในส่วนของโอบามาล่ะ?

เดวิด เมนเดลล์ ผู้เขียนหนังสือชีวประวัติของโอบามา “ฟรอม พรอมมิส ทู เพาเวอร์” บันทึกเอาไว้ว่า มิลเชลอธิบายถึงภาพของโอบามาในความเข้าใจของเธอเอาไว้ว่า เพราะเคย “เดต” กับ “พี่น้อง” ในที่ทำงานทำนองเดียวกันนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง “ฉันเลยคิดเอาว่า เขาก็คงนุ่มนวล เรียบๆ เหมือนกับพี่น้องทั้งหลายที่พูดจาตรงไปตรงมา เพื่อให้ใครๆ ประทับใจเทือกนั้น”

นั่นอาจหมายถึงว่า เธอไม่ได้ “ตื่นเต้น” กับนัดหมายนักกฎหมายหนุ่มที่สูบบุหรี่มวนต่อมวนจากฮาวายรายนี้เท่าใดนัก ต่างจากในภาพยนตร์ที่เริ่มต้นด้วยการแสดงถึงความตื่นเต้นของทั้งคู่กับนัดหมายครั้งนี้ ในขณะที่โอบามาหนุ่มนั่งอ่านหนังสือรอ สูบบุหรี่ อยู่ในรถ “ดัทสัน” ที่เขาใช้เป็นพาหนะไปรับสาวเจ้าในวันนั้น

เช่นเดียวกันกับรายละเอียดที่ว่า บารัค โอบามา เปิดเพลง “มิส ยู มัช” เพลงฮิตของเจเนท แจ็กสัน ระหว่างที่ขับดัทสันสีเหลืองบุบๆ บี้ๆ ไปรับมิเชล หรืออาการสะดุดตา หลงใหลในทันทีที่แรกเห็นจนต้องกวาดตามองมิเชล ขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายรอบ ราวกับคนที่ตามหาอาหารโปรดมานานแล้วดันมาพบพานตรงหน้าแบบไม่คาดหมาย ยังไงยังงั้น

หลายคนคงอยากให้เป็นเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริง เรื่องราวเหล่านี้ มีเพียงประธานาธิบดีโอบามาเท่านั้นที่รู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น

แต่อย่างน้อยที่สุด เดวิด มารานิสส์ ผู้เขียน “บารัค โอบามา : เดอะ เมคกิ้ง ออฟ เดอะ แมน” ก็ยืนยันได้อย่างหนึ่งว่า ผู้นำสหรัฐอเมริกาเคยเป็นเจ้าของรถดัทสันเก่าๆ บุบๆ สีเหลืองคันหนึ่งจริง ยังให้รายละเอียดไว้ด้วยว่า พื้นในรถมีรูทะลุอยู่อีกด้วย

โอบามาซื้อรถคันนั้นมาด้วยเงิน 500 ดอลลาร์ (ราว 18,000 บาท) หลังกลับมายังสหรัฐอเมริกา

เมื่อเสร็จสิ้นการเดินทาง “แสวงหาตัวเอง” ไปยุโรปและแอฟริกาหลายประเทศหลังจบการศึกษา!

จุดหมายปลายทางของนัดหมายในวันนั้น ก็คือการนำตัวนักกฎหมายหนุ่มจากฮาวายไปแนะนำในฐานะ “เพื่อนร่วมงานใหม่” ในการประชุมของชาวบ้านชุมชนเซาธ์ไซด์ ในภาพยนตร์เล่าเอาไว้ว่า มิเชลออกฉุนอยู่ไม่น้อยที่ถูกชายหนุ่มรบเร้าให้หยุดแวะระหว่างทาง เพื่อ “ดูนิทรรศการศิลปะ” ที่จัดแสดงอยู่ที่สถาบันวิจิตรศิลป์แห่งชิคาโก แต่โอนอ่อนผ่อนตามในที่สุด

และในที่สุดก็ประทับใจที่โอบามาหนุ่มแสดงความรู้ความเข้าใจจริงจังต่อผลงานเลื่องชื่อ “ชูการ์ แชค” ของ เออร์นี บาร์นส์ จิตรกรและนักแสดงแอฟริกันอเมริกันที่จัดแสดงอยู่ในเวลานั้น

ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครรู้ว่างานศิลปะชิ้นไหนที่ บารัค โอบามา ได้อาศัยพึ่งพาในเวลานั้น แต่ทั้งประธานาธิบดีและสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง ยอมรับในเวลาต่อมาว่า การ “แวะกลางทาง” หนนั้นเป็นไปด้วยดีทีเดียว

“ว่าไปแล้วก็ถือว่าเป็นการออกเดตที่เยี่ยมเลย” มิเชลยอมรับไว้ในคลิปวิดีโอของทำเนียบขาวที่เผยแพร่ออกมาผ่านทางช่องยูทูบของบารัค โอบามา

“เราใช้เวลาทั้งวันด้วยกัน เขาแสดงออกมาให้เห็นบุคลิกในทุกๆ ด้าน รวมทั้งส่วนที่เป็นในเชิงวัฒนธรรม แล้วเรายังเดินไปด้วยกันนานทีเดียวบนถนนมิชิแกน เอฟเวนิว”

ในคลิปที่ว่านั้น ประธานาธิบดีหนุ่มผู้เป็นสามี ยิ้มเล็กน้อยออกท่าทางขี้เล่นให้กับความทรงจำในอดีต แล้วหันมามองกล้องบอกเหมือนกับกำลังบอกกับใครก็ตามที่กำลังดูวิดีโออยู่ว่า

“หนุ่มๆ ทั้งหลาย จำไว้ ศิลปะน่ะทำให้คนประทับใจ”

นายและนางโอบามาในเวลาต่อมากินอาหารด้วยกันเป็นครั้งแรกที่ลานสนามหญ้าของสถาบันศิลปะแห่งนี้ ทำความรู้จักซึ่งกันและกันเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

เธอเกลียดพาย แต่ชอบไอศกรีม ส่วนเขาเกลียดไอศกรีม เหมือนกับผู้เป็นบิดาที่ล่วงลับไปแล้ว

ทั้งสองแลกเปลี่ยนความทะเยอทะยาน ความผิดหวัง คับข้องใจ ความฝันและความหวังซึ่งกันและกัน แล้วก็เริ่มทดสอบอีกฝ่าย

เมนเดลล์ บันทึกความเห็นของมิเชลระหว่างการกินกลางวันด้วยกันว่า โอบามาสวมเสื้อสปอร์ต แจ๊กเก็ต “แย่ๆ” บุหรี่ห้อยอยู่ที่มุมปาก

เธอคิดอยู่ในใจกับภาพที่เห็นตรงหน้าว่า อีกแล้ว คงเหมือนกับที่ผ่านๆ อีกนั่นแหละ

แต่หลังจากนั้น ทั้งสองเดินไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง เมื่อถึงสถานที่ประชุมของชุมชน ที่ครั้งหนึ่งก่อนหน้าเข้าเรียนฮาร์วาร์ด โอบามาเคยทำงานเป็นอาสาสมัครในโครงการพัฒนาการเคหะ อัลท์เกลด์ การ์เดนส์ ที่นี่เอง ที่บารัค โอบามาแสดงอีกบุคลิกออกมาให้เห็น บุคลิกของผู้นำที่สามารถโน้มน้าวทุกคนให้คล้อยตาม เปลี่ยนทรรศนะของผู้คนที่กำลังคับข้อง หงุดหงิดกับปัจจุบันให้กลายเป็นคนที่มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์อนาคต

บางอย่างเริ่ม “คลิก” ในห้วงความคิดของมิเชล

หลังการประชุม ทั้งสองตกลงปลงใจดูหนังอื้อฉาวของ สไปค์ ลี เรื่อง “ดู เดอะ ไรท์ ธิง” ด้วยกัน แล้วก็แทบจะกลายเป็นฝันร้าย เมื่อพบกับคู่สามีภรรยาจากที่ทำงาน ซึ่งในชีวิตจริงคือ นิวตัน มินนาว กับภริยา ลอรา ที่ให้บังเอิญเลือกดูหนังเรื่องเดียวกันนี้

มินนาวบอกกับวอชิงตัน โพสต์ ในเวลาต่อมาว่า “ผมคิดว่าทั้งคู่เขินเรานิดหน่อยนะ”

ในภาพยนตร์พยายามขยายจุดนี้ขึ้นมาให้เห็นภาพของความแตกต่างระหว่างคนขาวกับแอฟริกัน-อเมริกัน แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนทุกอย่างจะราบรื่นกว่ามาก ในการให้สัมภาษณ์เรื่องราวโรแมนติกผ่านวิดีโอ ทั้งคู่ยิ้มแย้มแจ่มใส มิเชลบอกว่าในวันเดียวกัน บารัคแสดงให้เธอเห็นทุกๆ ด้านที่เป็นตัวตนของตนเอง

“เขาทันสมัย ฮิป รู้เรื่องวัฒนธรรม อ่อนไหว ใจกว้าง นุ่มนวล อดทน” แน่นอน ทั้งคู่เดินคุยกันริมน้ำได้ถึงสว่างในวันนั้น

ในคลิป โอบามาอดแซวออกมาไม่ได้ “สุภาพบุรุษฟังไว้ เคล็ดลับๆ”

“เซาธ์ไซด์ วิธ ยู” จบลงที่ “จูบแรก” ของคนทั้งสอง ที่ร้านไอศกรีม บาสกินร็อบบินส์ ที่แยกดอร์เชสเตอร์ตัดกับถนน อี.53 สตรีท 3 ปีก่อนหน้าที่ทั้งคู่จะตัดสินใจแต่งงานกัน

บารัค โอบามา บอกในการให้สัมภาษณ์นิตยสาร โอปราห์ส โอ แม็กกาซีนในเวลาต่อมาว่า เขาตัดสินใจเลี้ยงมิเชลด้วยไอศกรีมที่ดีที่สุดของร้านเพื่อฉลองเดตแรกด้วยกัน

“ผมจูบเธอ รสยังกะช็อกโกแลต”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image