ยอดติดโควิดโลกลดเกือบครึ่ง ชี้หยุดการแพร่ระบาดไม่ได้ หากยังเข้าถึงวัคซีนไม่เท่าเทียม
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานโดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลจากฐานข้อมูลที่มีว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ทั่วโลกลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง หรือราว 44.5 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา
กระนั้นก็ดีนางแอนเดรีย อัมมอน หัวหน้าศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของสหภาพยุโรป (อียู) ที่ตั้งอยู่ในสวีเดนออกมาเตือนว่า แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่จะลดลงเกือบครึ่งในช่วงที่ผ่านมา แต่ไวรัสโคโรนาอาจจะอยู่กับเราไปตลอดกาล แม้ว่าทั่วโลกจะมีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 แล้วก็ตาม พร้อมกับเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ อย่าการ์ดตก เพราะไวรัสปรับตัวได้ดี และจำเป็นที่ผู้เชี่ยวชาญจะต้องปรับแต่งวัคซีนอยู่เป็นระยะ ดังนั้นทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อม
ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคได้เขียนจดหมายไปตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารการแพทย์แลนเซตระบุว่า วัคซีนต้านโควิด-19 จะไม่ช่วยยุติการแพร่ระบาดของโควิด-19 หากทุกประเทศไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนอย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว
“ไม่ว่าจะพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ตัวใหม่ออกมาเท่าใด แต่หากการกระจายวัคซีนยังเกิดขึ้นอย่างไม่เป็นธรรม ความพยายามในการยุติการแพร่ระบาดในระดับโลกก็จะประสบความล้มเหลว และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้” จดหมายดังกล่าวระบุ
ปัจจุบันชาติร่ำรวยซึ่งมีประชากรเพียง 16 เปอร์เซ็นต์ของโลก ครอบครองวัคซีนต้านโควิดในสัดส่วนสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมากพอที่จะฉีดให้ประชากรทุกคนในประเทศซ้ำหลายครั้ง ซึ่งการกักตุนวัคซีนปริมาณมากดังกล่าว ควรแทนที่ด้วยกระจายไปให้กับประเทศที่มีการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยงและเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขในประเทศยากจน
นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญเห็นว่า ควรมีการเร่งส่งต่อเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 ให้กับประเทศกำลังพัฒนา เพื่อช่วยให้ประเทศเหล่านั้นสามารถผลิตวัคซีนได้เองภายในประเทศ รวมถึงควรมีมาตรการเพื่อควบคุมราคาของวัคซีนที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดอีกด้วย
กลุ่มผู้เชี่ยวชาญระบุด้วยว่า เมื่อใดที่วัคซีนต้านโควด-19 ที่พัฒนาโดยจีน อินเดีย และรัสเซีย ได้รับการรับรองโดยองค์การอนามัยโลกแล้ว ก็จะมีส่วนช่วยอย่างมากต่อประเทศยากจนในการได้มาซึ่งวัคซีน ที่สามารถเก็บรักษาได้ง่ายกว่าวัคซีนที่คิดค้นขึ้นในยุโรปหรืออเมริกา
ล่าสุดทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสม 108,762,911 คน มีผู้เสียชีวิตสะสม 2,395,018 ราย และมีผู้หายจากอาการป่วยแล้ว 80,792,187 คน โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด 3 อันดับแรก ยังคงนำโดยสหรัฐที่ 28,106,704 อินเดีย 10,892,550 และบราซิล 9,765,694 ส่วนประเทศที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด 3 อันดับแรกคือสหรัฐ 492,521 บราซิล 237,601 และเม็กซิโก 172,557
