คอลัมน์ โกลบอลโฟกัส: เด็กชายชาวอเลปโป

AFP PHOTO / MAHMOUD RSLAN

“ออมราน ดัคนีช” อายุ 5 ขวบ นั่งนิ่งขึงอยู่บนเก้าอี้สีส้มของรถพยาบาล สองตาเบิ่งมองไปข้างหน้าอย่างไร้ความหมาย งุนงง ชั่วขณะเขายกมือซ้ายขึ้นปาดผ่านใบหน้าไปยังศีรษะ ผ่านคราบเลือดเกรอะกรังปนฝุ่นผงไล้ไปในเรือนผมกระเซิง ควานหาที่มาของความเจ็บปวด เหลือบมองรอยเลือดที่เปรอะตามนิ้วมือ แล้วนิ่งเงียบอีกครั้ง

ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงร้องสะอึกสะอื้น เหมือนตุ๊กตาเปื้อนฝุ่นไร้วิญญาณ

ไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้น เด็กชายถูกดึงตัวออกมาจากซากปรักหักพังที่เคยเป็นบ้านของตัวเองในย่าน คาเตร์จี ทางตะวันออกของอเลปโป เมืองใหญ่เก่าแก่ในทันทีที่การโจมตีทางอากาศของกองกำลังรัฐบาลซีเรียผ่านพ้นไป มุสตาฟา อัล ซารูท ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นในอเลปโป สังกัดอเลปโป มีเดีย เซนเตอร์ ถ่ายทำวิดีโอสั้นๆ ของการช่วยเหลือ ออมราน เอาไว้ มันกลายเป็นภาพที่ทรงพลังอย่างยิ่งในเวลาต่อมา

“ผมเห็นเด็กๆ ถูกช่วยออกมาจากซากบ้านเรือนมาหลายหน แต่เด็กคนนี้ไม่เหมือนรายอื่น เขายังเด็ก ยังบริสุทธิ์เกินไปจนไม่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง” มุสตาฟาระบุ “ผมถ่ายรูปมามาก แต่ใบหน้าของออมรานบอกอะไรได้มากเหลือเกิน เลือด ฝุ่น แล้วก็อายุของเด็ก”

Advertisement

นายแพทย์โมฮัมหมัด ซึ่งปฏิเสธจะให้ชื่อสกุล เป็นศัลยแพทย์ผู้เยียวยา ออมราน เมื่อเด็กชายเดินทางมาถึงโรงพยาบาล

“เขามาถึงในสภาพช็อก งงกับสิ่งที่เกิดขึ้น” คุณหมอบอก “ทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นปนเลือดแห้งบนใบหน้าที่ไหลออกมาจากบาดแผลที่หน้าผาก ตกใจมากจนช็อก เพราะอยู่ดีๆ นั่งอยู่สบายๆ อาจหลับด้วยซ้ำไป แล้วบ้านก็ถล่มลงมา ตอนเรารักษาเขาไม่ร้องสักแอะ ไม่มีน้ำตา แค่ช็อกสุดขีดเท่านั้น”

ครอบครัวของออมราน รอดชีวิตเป็นส่วนใหญ่ พี่สาว 2 คนไม่เป็นอะไรมาก แต่ อาลี พี่ชายวัย 10 ขวบ เสียชีวิตในวันถัดมาเพราะบาดแผลที่ได้รับ ผู้เป็นพ่อได้รับบาดเจ็บเลือดอาบ แต่รอดตายมาได้เช่นกัน

Advertisement

ออมราน มีแผลที่หน้าผาก แต่นอกจากนั้นแล้วไม่มีอะไรร้ายแรงทางร่างกาย แต่ไม่มีใครบอกได้ว่าผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกนึกคิดของเด็กชายจะร้ายแรงแค่ไหนในอนาคต

จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เรียกออมรานว่า “โฉมหน้าที่แท้จริงของสิ่งที่ดำเนินอยู่ในซีเรีย” เขาบอกต่อว่า

“เด็กชายตัวเล็กๆ เพียงแค่นี้ไม่เคยมีวันไหนในชีวิตที่ว่างเว้นจากสงคราม ความตาย การทำลายล้าง ความยากจนข้นแค้นที่เกิดขึ้นในประเทศของตัวเอง”

สำหรับโมฮัมหมัด สิ่้งที่แย่ที่สุดเกี่ยวกับออมรานก็คือ เขาไม่มีวันเป็นเหยื่อรายสุดท้าย

“เราใช้ชีวิตอยู่กับความจริงที่เด็กๆ และพลเรือนผู้บริสุทธิ์ตกตายกันรายวัน ต่อเนื่องกันมานาน 5 ปีแล้ว จรวดหรือระเบิดถังน้ำมันไม่เคยเลือกเหยื่อของมัน

“ถ้าเป็นไปได้ก็หยุดฆ่าเถอะ ไม่มีเหตุผลอะไรรองรับการฆ่าคนของระบอบอัสซาดและรัสเซีย แล้วก็ไม่มีเหตุผลอีกเหมือนกันที่การฆ่าคนบริสุทธิ์เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาแล้ว ทั้งโลกยังนิ่งเงียบ

“เด็กๆ ในซีเรีย ก็มีสิทธิมีชีวิตอย่างสงบสุขเหมือนกัน”

ราวกลางเดือนสิงหาคม หมอที่ทำหน้าที่อยู่ในอเลปโป 15 คน ร่วมกันเขียนจดหมายถึง บารัค โอบามา ตอนหนึ่งบรรยายความเอาไว้ว่า เมื่อเดือนที่แล้ว เด็กแรกเกิด 4 รายต้องใช้ชีวิตตั้งแต่วินาทีแรกหลังคลอดอยู่ในตู้อบ แต่แล้วระเบิดก็ถล่มเข้าใส่โรงพยาบาลเล็กๆ แห่งนั้น

ไฟดับ! เด็กทั้ง 4 รายตายลงพร้อมๆ กันในสภาพ “ตะเกียกตะกายไขว่คว้าหาอากาศ ชีวิตของพวกเขาถูกกระชากทิ้งไปก่อนที่จะได้เริ่มต้นจริงๆ จังๆ ด้วยซ้ำ”

“เด็กๆ ตัวเล็กๆ บางครั้งถูกนำเข้ามาในห้องฉุกเฉินพร้อมๆ กันในสภาพบาดเจ็บสาหัสมากเสียจนเราจำเป็นต้องเลือกให้การรักษากับคนที่มีโอกาสรอดมากที่สุดก่อน หรือไม่ก็เป็นเพราะเราไม่มีอุปกรณ์ทางการแพทย์พอที่จะรับมือกับอาการบาดเจ็บสาหัสของเด็กเหล่านั้น” ในจดหมายระบุ

จากข้อมูลขององค์กรการกุศล “เซฟ เดอะ ชิลเดรน” กว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่บาดเจ็บล้มตายในอเลปโปในเวลานี้เป็นเด็กๆ ในวัยใกล้เคียงกันกับ ออมราน ดัคนีช

เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ซีเอ็นเอ็น รายงานว่ามีเด็กทารกแรกเกิด 11 คนอยู่ในตู้อบในโรงพยาบาลเด็กแห่งอเลปโปเมื่อการโจมตีทางอากาศของทหารรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล อัสซาด ระลอกแรกเกิดขึ้น เมื่อการโจมตีระลอกที่สองตามมา ทารก 3 รายเสียชีวิตเพราะขาดออกซิเจนและสูดเอาฝุ่นควันที่เกิดจากเหตุระเบิดเข้าไป

ในจดหมายถึงโอบามา แพทย์ที่อเลปโประบุว่า หน้าร้อนปีนี้การโจมตีต่อสถานพยาบาลถี่ขึ้นและขยายตัวมากขึ้น กลายเป็นแนวโน้มปกติเกินกว่าที่จะพิจารณาได้ว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่ต้องเป็นเจตนากระทำการ ตามข้อมูลในจดหมาย ระบุว่าเฉพาะในเดือนกรกฎาคมเพียงเดือนเดียว สถานพยาบาลในอเลปโปถูกโจมตีรวมกันแล้วถึง 42 ครั้งด้วยกัน

คริส ไทดีย์ โฆษกของกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) บอกเอาไว้ว่า เด็กๆ 3.7 ล้านคนอายุต่ำกว่า 5 ขวบในซีเรีย ไม่เคยรู้จักสิ่งอื่นใดในชีวิตนอกเหนือจากการต้องอพยพหลบหนี พลัดพรากออกจากถิ่นฐานบ้านเกิด ความรุนแรงและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นเป็นกิจวัตร

เด็กเหล่านั้นลืมตาขึ้่นมาดูโลกพร้อมๆ กับการลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลที่ลุกลามขยายตัวเป็นสงครามกลางเมืองต่อเนื่องกันมาจนถึงทุกวันนี้ 5 ปีเต็มเข้าไปแล้ว

“ตัวเลขนี้มากมายจนเหลือเชื่อ และไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน” ไทดีย์สรุป

นับตั้งแต่ปี 2012 อเลปโป ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน เขตตะวันตกของเมืองอยู่ในความควบคุมของรัฐบาล ส่วนทางซีกตะวันออก ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของหลายๆ กองกำลังกลุ่มต่อต้านรัฐบาล เมืองเก่าแก่อายุนับพันปีแห่งนี้ กลายเป็นซากปรักหักพังไปในไม่ช้าไม่นานจากการสู้รบ โดยเฉพาะจากการสนับสนุนรัฐบาลซีเรียด้วยการทิ้งระเบิดทางอากาศจากรัสเซีย

ราวกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมารัสเซียเสริมพลานุภาพทำลายล้างแบบมืดบอดของตนให้สูงขึ้นอีก ด้วยการระดมยิงจรวดร่อนจากเรือรบในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ในซีเรีย เป็นที่มาของเด็กๆ อายุต่ำกว่า 15 ปีลงมาที่ตกอยู่ในสภาพพลัดถิ่น และหนีตายจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันมากถึง 8 ล้านคนหรือราว 1 ใน 3 ของประชากร 22 ล้านคนของซีเรียเมื่อความขัดแย้งเริ่มปะทุขึ้น

ในจำนวนนี้มีราว 2.5 ล้านคนหลบหนีออกไปใช้ชีวิตอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยนอกประเทศ หรือไม่ก็พยายามเดินทางต่อไปยังประเทศในยุโรป ประสบความสำเร็จสมหวังบ้าง พบพานความตายระหว่างทางบ้างมากมายไม่ใช่น้อยเช่นกัน

ชะตากรรมของเด็กเหล่านี้ในเวลานี้นับว่าเลวร้ายแล้ว แต่อนาคตของพวกเขาหลังสงครามดูมืดมนยิ่งกว่า

ซีเรียเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดประเทศหนึ่งในตะวันออกกลาง แต่ชะตากรรมของเด็กๆ ที่กลายเป็น “ลอสต์ เจเนอเรชั่น” เป็นผู้คนในรุ่นที่องค์ประกอบทุกอย่างในชีวิตถูกทำลายไป หลงเหลือเพียงสงครามและความรุนแรง จะส่งผลอย่างไรต่อทิศทางของประเทศนี้ในอนาคตเป็นเครื่องหมายคำถามที่ใหญ่โตยิ่ง

สหประชาชาติประเมินเอาไว้คร่าวๆ ว่า เด็กๆ ในวัยเรียนเกือบ 3 ล้านคนในซีเรีย ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนมานานนักหนาแล้ว

ไทดีย์บอกด้วยว่า หน้าร้อนนี้สภาพแวดล้อมสำหรับ เด็กๆ ในอเลปโป ยิ่งจะแย่หนักลงไปอีก เมื่อพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงแหล่งน้ำดื่มที่สะอาดปลอดภัยได้อีกต่อไป นอกจากนั้นบางส่วนยังตกเป็นเหยื่อของอาวุธเคมี “คลอรีนแก๊ส” ที่ สตาฟฟาน เด มิสทูรา ทูตพิเศษของสหประชาชาติประจำซีเรีย ระบุว่า มีหลักฐานมากมายที่แสดงให้เห็นว่ามีการใช้อาวุธเคมีนี้ทิ้งลงในพื้นที่อเลปโปตะวันออก

“ถ้าพิสูจน์ได้จริง นั่นคืออาชญากรรมสงคราม” มิสทูรา ระบุ

ซาฮีร์ ซาห์ลูล ชาวอเมริกันเชื้อสายซีเรีย ที่เป็นแพทย์ประจำหน่วยพยาบาลผู้ป่วยหนักจากโรงพยาบาลในนครชิคาโก สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันใช้ชีวิตปฏิบัติหน้าที่ทางการแพทย์อยู่ในอเลปโปและอีกหลายสถานที่ในซีเรียมานานหลายปีในฐานะสมาชิกคนหนึ่งขององค์กรแพทย์เพื่อการกุศล แซมส์ เปิดเผยไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ออมราน ดัคนีช เกิดขึ้นอย่างดกดื่นจนเป็นเรื่องสามัญที่ซีเรีย

เฉพาะในอเลปโป หมอที่นั่นพบเห็นเด็กอย่างออมราน สัปดาห์ละเป็นสิบราย

ซาห์ลูลเรียกมันว่าโศกนาฏกรรม ที่เปิดเผยออกมาอย่างช้าๆ ต่อหน้าต่อตาคนทั้งโลก

“ทุกครั้งที่ผมรักษาเด็กๆ ที่ซีเรีย อาการบาดเจ็บของพวกเขาสาหัสเสียจนผมนึกสงสัยขึ้นมาในใจว่า ใครกันแน่ที่โชคดีกว่ากัน เด็กที่ตายในทันทีหรือคนที่ยังมีชีวิตรอดอยู่”

เขายังเก็บภาพเขียนภาพหนึ่งซึ่งเป็นฝีมือของเด็กจากอเลปโปติดตัวไว้ตลอดเวลา ในภาพมีเฮลิคอปเตอร์สีดำทะมึนอยู่ด้านบน มีเลือดและการทำลายล้างทางด้านล่าง ภาพเด็กหัวขาดกระเด็น แต่ที่ทำให้เขาช็อกมากกว่าอย่างอื่นก็คือ ในภาพนั้น ศพเด็กที่ตายเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ที่น้ำตาหลั่งไหลเป็นสายกลับเป็นเด็กที่รอดชีวิตต่างหาก

“ผมจำผู้ป่วยรายแรกของผมที่อเลปโปได้ดี เด็กชายชื่อ ฮัมเซห์ บาดเจ็บเพราะถูกกระสุนสไนเปอร์เข้าที่หัว นอนแน่นิ่งอยู่ในห้องอภิบาลผู้ป่วยหนัก ผมต้องบอกกับครอบครัวว่าสมองเขาตายแล้ว ต้องถอดเครื่องช่วยหายใจ ซึ่งยากมากในซีเรีย เพราะตราบใดที่ยังมีชีพจรอยู่ พวกเขายังเชื่อเสมอว่าผู้ป่วยจะรอดชีวิตได้”

จากนั้นก็เป็นอับดุลเลาะห์ วัย 12 ปี คนที่กรีดร้องโหยหวนอ้อนวอนให้เขายุติสอดท่อยางผ่านเข้าไปทางบาดแผลที่ช่องอก…โดยไม่มีการวางยาสลบ เพราะไม่มี

และเขาไม่มีวันลืมเด็กหญิงพี่น้อง 2 คน ที่ถูกนำตัวเข้ามาในห้องฉุกเฉินในสภาพกอดกันแน่น…เสียชีวิตแล้ว

ซาห์ลูล พูดถึงออมรานว่า รอดชีวิตไปได้ก็จริง ไม่พิการแขนขา หรือสูญเสียลูกตาข้างใดข้างหนึ่ง แต่จะทนทุกข์ทรมานจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไปจนตลอดชีวิต

“เราพูดกันว่า รูปของออมรานมีพลังอย่างมาก แต่พลังของรูปนี้จะถูกแปรเป็นการกระทำเพื่อคุ้มครองเด็กๆ เหล่านี้ได้หรือเปล่า? เด็กพวกนี้ไม่ใช่ตุ๊กตาที่จะร้องออกมาแล้วก็แล้วกันไป ทุกคนได้เห็นรูปนี้กันแล้ว แล้วยังไง? จะมีใครทำอะไรบ้างไหม?”

ซาห์ลูลบอกว่า บางที แค่เสียน้ำตาให้กับเด็กที่ได้รับบาดเจ็บในอเลปโป หรือซีเรียเท่านั้น คงไม่พอ

“ออมราน เตือนใจเราให้รำลึกว่า มีสิ่งเลวร้ายมากมายที่เด็กๆ ในซีเรียกำลังต้องรองรับอยู่ในเวลานี้ เช่นเดียวกับเด็กๆ ที่ตกอยู่ในท่ามกลางสงครามในทุกๆ ที่ แล้วอย่าลืมพวกเขาอีก”

ทุกชีวิตมีค่า ซาห์ลูลย้ำ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image