เผยกรมควบคุมโรคสหรัฐ เร่งสอบกรณีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์-โมเดอร์นา
เว็บไซต์ komonews.com สื่อท้องถิ่นรายงานเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค(ซีดีซี)ของสหรัฐอเมริกา กำลังสอบสวนการเกิดผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของไฟเซอร์-ไบออนเทค และ โมเดอร์นา ซึ่งเป็นวัคซีนต้านโควิดหลักที่ใช้ในประเทศสหรัฐ หลังมีรายงานการเกิดกรณีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ที่เรียกว่า myocarditis หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบขึ้นหลังจากได้รับการฉีดวัคซีนดังกล่าวเข้าไป
โดยนักวิทยาศาสตร์ร่วมกับคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวัคซีนของซีดีซี ได้รับรายงานมากกว่า 10 ฉบับเกี่ยวกับกรณีการเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลังการฉีดวัคซีนต้านโควิดไปแล้ว 4 วัน ซึ่งดูเหมือนว่าผลข้างเคียงดังกล่าวมักเกิดกับในกลุ่มวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
ในอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ยังมีรวมถึงอาการเหนื่อยล้า หายใจถี่ และมักหายไปเองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน อย่างไรก็ตามซีดีซีกำลังทำการสอบสวนในเรื่องนี้อยู่และได้แจ้งเตือนไปยังคณะแพทย์ให้เฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้ด้วย
อย่างไรก็ดีดอกเตอร์ริชาร์ด เบสเซอร์ อดีตรักษาการผู้อำนวยการซีดีซี กล่าวย้ำว่า เรารู้ดีว่าโรคโควิด-19 นั้นเป็นอันตรายร้ายแรงในตัวมันเองอยู่แล้ว เราได้สูญเสียเด็กไปหลายร้อยคนและอีกหลายพันคนที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งตนขอพูดในมุมมองของตนว่าความเสี่ยงของโรคโควิดมีมากกว่าความเสี่ยงทางทฤษฎีจากวัคซีนอยู่มาก โดยจำนวนผู้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบไม่ได้มีมากไปกว่าที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขคาดการณ์ว่าจะมีเกิดขึ้นในหมู่ผู้คนอีกหลายล้านคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน
ซีดีซีระบุว่ากรณีผู้ป่วยที่ทางซีดีซีกำลังเฝ้าติดตามเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ซึ่งวัคซีนทั้งสองได้รับอนุมัติจากทางการสหรัฐให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉินในประเทศได้
ทั้งนี้กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้เริ่มติดตามข้อมูลย้อนไปจนถึงเดือนมีนาคมซึ่งมีรายงานพบกรณีผู้เกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบขึ้น 14 รายในหมู่เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ ที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์หรือไม่ก็ฉีดของโมเดอร์นา ในจำนวนนี้ 13 รายเกิดผลข้างเคียงดังกล่าวหลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 และผู้ป่วยหลายรายในจำนวนนี้มีอายุ 30 ปีปลายๆ
ขณะเดียวกันมีรายงานว่าอิสราเอลกำลังติดตามกรณีการเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในผู้ป่วย 62 ราย จากที่มีการฉีดวัคซีนต้านโควิดในประเทศอิสราเอลไปแล้วมากกว่า 5 ล้านโดสด้วย
