เอฟดีเอสอบกรณีวัคซีนเจ&เจ-แอสตร้าปนเปื้อน

แฟ้มภาพ วัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (รอยเตอร์)

เอฟดีเอสอบกรณีวัคซีนเจ&เจ-แอสตร้าปนเปื้อน

เว็บไซต์โพลิติโค รายงานเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนนี้ ว่า องค์การอาหารและยา (เอฟดีเอ) ของสหรัฐอเมริกา ร้องขอให้บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า และบริษัท จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (เจแอนด์เจ) ประเมินความเสี่ยงของวัคซีนที่ทั้งสองบริษัทว่าจ้าง บริษัท อีเมอร์เจนท์ ไบโอโซลูชัน ผลิต หลังจากเกิดอุบัติเหตุโรงงานผลิตของอีเมอร์เจนท์ ที่นครบัลติมอร์ นำเอาสารออกฤทธิ์ในการผลิตวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ไปปนเปื้อนกับวัคซีนเจแอนด์เจ ที่ผลิตอยู่ในที่เดียวกัน 15 ล้านโดสเมื่อเดือนมีนาคม เป็นเหตุให้เอฟดีเอ สั่้งหยุดการผลิตของโรงงานไปตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อสอบสวนกรณีที่เกิดขึ้น

รายงานข่าวอ้างผู้ที่รู้เรื่องดี 2 รายระบุว่า วิธีการตรวจสอบของเอฟดีเอ สามารถบ่งชี้ได้เพียงแค่ปัญหาการปนเปื้อนสำคัญๆ แต่ไม่สามารถตรวจหาร่องรอยการปนเปื้อนเล็กน้อยที่อาจส่งผลต่อสุขภาพได้ เป็นที่มาให้มีการร้องขอให้บริษัทดำเนินการตรวจสอบเพื่อประเมินการปนเปื้อนเล็กน้อยที่อาจมีผลต่อสุขภาพอีกครั้ง ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์ โดยทางเอฟดีเอ เตรียมจะประกาศผลการสอบสวนว่า วัคซีนทั้งของเจแอนด์เจและของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตจากโรงงานผลิตอีเมอร์เจนท์ที่บัลติมอร์ปลอดภัยต่อการนำมาใช้หรือไม่

ทั้งนี้ เป็นไปได้ที่ผลการตรวจสอบของแอสตร้าฯ และเจแอนด์เจ จะพบการปนเปื้อนเล็กน้อยในวัคซีนล็อตดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้จำเป็นว่าการปนเปื้อนจะเป็นปัญหาไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพเสมอไป แหล่งข่าวของโพลิติโคระบุ

วัคซีนที่ต้องประเมินความปลอดภัยใหม่นี้มีส่วนหนึ่งเป็นของแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งทางการสหรัฐจัดส่งให้กับแคนาดา และเม็กซิโก ไปแล้วเมื่อเดือนมีนาคมก่อนหน้าที่จะรู้เรื่องอุบัติเหตุดังกล่าว และทำให้แผนการส่งต่อวัคซีนเหลือใช้กับราว 40 ประเทศ ที่ร้องขอมาผ่านกระทรวงต่างประเทศต้องชะงักลง เพื่อรอผลการตรวจสอบความปลอดภัยดังกล่าวนี้อีกด้วย

Advertisement

รายงานจากกรุงปักกิ่งในวันเดียวกันระบุว่า จีนกำลังเดินหน้าเร่งความเร็วในการกระจายวัคซีนเต็มพิกัด ทำสถิติที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในโลกด้วยการฉีดวัคซีน 100 ล้านโดส ภายในเวลาเพียง 5 วันเมื่อเดือนพฤษภาคม ทำให้ทั้งเดือนสามารถฉีดวัคซีนให้กับประชากรไปกว่าครึ่งของจำนวนที่ฉีดไปแล้วทั้งหมด 680 ล้านโดสในเวลานี้ ทั้งนี้ เพื่อให้ทันกับเป้าการฉีดให้ได้ 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากร 1,400 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image