สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยเมื่อวันที่ 6 กันยายนว่า สหรัฐจะเพิ่มความพยายามให้มากขึ้นในการช่วยเหลือลาวกำจัดซากของระเบิดที่ไม่ทำงาน ระหว่างการเดินทางเยือนลาวครั้งประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีบารัค โอบามา เพื่อเข้าร่วมในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและเอเชียตะวันออกกับประเทศคู่เจรจา
ข่าวระบุว่า ลาวกลายเป็นประเทศที่ถูกทิ้งระเบิดเข้าใส่มากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับจำนวนประชากร ในช่วงเวลานับตั้งแต่ปี พ.ศ.2507-2516 จากการที่สำนักงานข่าวกรองกลางสหรัฐ (ซีไอเอ) เปิดฉากทำสงครามลับปูพรมทิ้งระเบิดถล่มลาวเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงสำคัญของบรรดานักรบคอมมิวนิสต์ ในช่วงสงครามเวียดนาม
พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศลาวยังเต็มไปด้วยซากชิ้นส่วนของสรรพาวุธต่างๆ ซึ่งรวมถึงระเบิดลูกปรายที่ยังคงทำให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจนถึงทุกวันนี้ โดยประเด็นดังกล่าวเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับลาวมาอย่างยาวนาน
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 ฝ่ายได้มีความพยายามสานสัมพันธ์กันมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และการเดินทางเยือนของโอบามาครั้งนี้ที่ถือเป็นครั้งแรกในการเยือนลาวของประธานาธิบดีสหรัฐขณะดำรงตำแหน่ง ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นโอกาสสำคัญในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 ชาติ
แถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า ได้มีการจัดสรรเงิน 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3,100 ล้านบาท) เพื่อช่วยเหลือลาวในการจัดการกับปัญหาที่เกิดจากสรรพาวุธที่ตกค้าง โดยเฉพาะระเบิดที่ไม่ทำงาน ในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้านับจากนี้ ตัวเลขความช่วยเหลือดังกล่าวนับว่าเพิ่มขึ้นมาก โดยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา สหรัฐให้เงินช่วยเหลือลาวทั้งหมดรวมแล้วเพียงแค่ 100 ล้านดอลลาร์ (ราว 3,400 ล้านบาท) เท่านั้น
จำนวนระเบิดที่สหรัฐทิ้งใส่ลาวคิดเป็นมากกว่า 2 ล้านตัน โดยในจำนวนนี้ ราว 30% ยังไม่ระเบิด ซึ่งรวมถึงระเบิดลูกปรายมากกว่า 80 ล้านลูก
ข้อมูลของรัฐบาลลาวระบุว่า มีประชากรราว 500,000 รายที่เสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บนับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้นจนกระทั่งถึงปี 2551 หลังจากนั้นการกำจัดซากวัตถุระเบิดและการรณรงค์ให้ความรู้ทำให้ลดอัตราการสูญเสียลงได้เฉลี่ยแล้วราวปีละ 40 คน แต่มีพื้นที่ที่สามารถกำจัดวัตถุระเบิดออกไปได้หมดแล้วคิดเป็นเพียงแค่ 1% เท่านั้น
