วิพากษ์ 2 ผู้นำ ท่าที ‘ปินส์’ ท่าที ‘มะกัน’

เวทีการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจา จัดขึ้นที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ต้องสะเทือนทันที เมื่อเกิดดราม่าระหว่างผู้นำสหรัฐอเมริกากับผู้นำฟิลิปปินส์

เมื่อประธานาธิบดี โรดริโก ดูแตร์เต แห่งฟิลิปปินส์โจมตี นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา อย่างดุเดือดต่อหน้าสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 5 กันยายน ถึงขั้นหลุดคำว่า “ลูกโสเภณี”

นายดูแตร์เตระบุว่าจะไม่ยอมให้นายโอบามามาสั่งสอนหรือตำหนิเรื่องสงครามปราบปรามยาเสพติดในเวทีประชุมอาเซียน

หลังการขึ้นสู่ตำแหน่งของนายดูแตร์เต นักการเมืองท้องถิ่นจากเมืองดาเวาขึ้นชื่อเรื่องความโผงผาง เกิดนโยบายการปราบปรามยาเสพติดอย่างรุนแรง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,400 ราย โดยไม่ยอมฟังคำท้วงติงจากองค์การระหว่างประเทศที่แสดงความกังวลถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน

Advertisement

ทั้งนี้นายดูแตร์เตมักใช้คำว่า “ลูกโสเภณี” เป็นคำด่าที่ติดปาก โดยเคยกล่าวคำนี้เมื่อเอ่ยถึงทูตสหรัฐอเมริกาประจำกรุงมะนิลาในการโจมตีสหรัฐเรื่องที่ตำรวจใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุกับประชาชน ด้วยลักษณะนิสัยที่ชอบพูดจาโผงผางทำให้นายดูแตร์เตใช้ถ้อยคำรุนแรงกับประเทศคู่ขัดแย้งบ่อยครั้ง กระทั่งกับศาสนจักรโรมันคาทอลิก

แม้ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองดาเวายังเคยใช้คำไม่เหมาะสมกับพระสันตะปาปาฟรานซิสขณะเสด็จเยือนฟิลิปปินส์ โดยกล่าวหาว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้รถติด

แต่นายดูแตร์เตส่งจดหมายขอโทษพระสันตะปาปาฟรานซิสในภายหลัง

Advertisement

เช่นเดียวกันกับกรณีนายบารัค โอบามา เดิมทีทั้งคู่มีกำหนดการหารือนอกรอบในการประชุมช่วงบ่ายวันที่ 6 กันยายน เพียงข้ามคืนหลังนายดูแตร์เตสบถด่าผู้นำสหรัฐ ผู้ช่วยของนายโอบามาออกมาแถลงว่ากำหนดการหารือกับนายดูแตร์เตจะถูกยกเลิกไป โดยนายโอบามาได้เปลี่ยนกำหนดการไปพบปะหารือกับประธานาธิบดี ปาร์ค กึน เฮ ผู้นำเกาหลีใต้แทน

ตามมาด้วยคำขอโทษจากนายดูแตร์เต ที่ได้แถลงแสดงความเสียใจว่า “สาเหตุที่ทำให้ผมแสดงความคิดเห็นออกไปอย่างรุนแรงจากคำถามของสื่อที่กระตุ้นให้เกิดความกังวลใจ แต่เราเสียใจที่สิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นการโจมตีส่วนบุคคล” พร้อมบอกอีกว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะหาโอกาสพบปะหารือกันในวันหลัง

จากกรณีดังกล่าวนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่าง “ผศ.ดร.วิบูลพงศ์ พูนประสิทธิ์” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตนายกสมาคมอเมริกาศึกษาในประเทศไทย ให้ความเห็นว่า เท่าที่ติดตาม นายโรดริโก ดูแตร์เต เป็นคนพูดจาค่อนข้างจะโผงผางไม่ว่าจะพูดกับใคร และเขาไม่ได้เป็นนักการทูตอาจจะพูดอะไรออกไปตามความรู้สึก พูดง่ายๆ คือมีความเป็นนักเลงพอสมควร ตรงนี้ก็พอรับได้

“ในแง่ของอเมริกา เรื่องการประท้วงทางการทูตจำเป็นต้องทำ ทั้งการงดการเข้าพบทางการทูต หรือการไม่เจรจาด้วย คิดว่า โรดริโก ดูแตร์เต น่าจะรู้แล้วว่าพอพูดแบบนี้แล้วสร้างความเสียหายพอสมควร เลยออกมาขอโทษ ทีนี้ก็ต้องมาดูในจุดสุดท้ายเรื่องผลประโยชน์ของชาติซึ่งสำคัญที่สุด”

ผศ.ดร.วิบูลพงศ์บอกอีกว่า ในส่วนของอเมริกา มีผลประโยชน์กับทางฟิลิปปินส์อยู่ ในแง่ของฟิลิปปินส์ก็มีเรื่องผลประโยชน์ของชาติ การที่เขาไม่อยากจะญาติดีกับอเมริกาเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเขาคิดว่าอเมริกาอยู่ไกลเกินไป ช่วยเขายาก และการเป็นมิตรกับอเมริกาอาจจะทำให้เสียเปรียบ แต่จีนที่อยู่ตรงนั้นจะใกล้กว่า ถ้าเป็นมิตรกับจีนอาจจะได้ผลประโยชน์มากกว่า เช่น ถ้าสามารถเจรจาแบ่งปันผลประโยชน์ทางทะเลกับประเทศจีนได้ เพื่อปรองดองกัน แล้วอาจจะได้จีนมาเป็นเพื่อน มาเป็นตัวต้านอำนาจของอเมริกาที่เคยเป็นเจ้าอาณานิคมของเขามาก่อนได้

สำหรับการกล่าวโจมตีของผู้นำประเทศจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของฟิลิปปินส์หรือไม่นั้น ผศ.ดร.วิบูลพงศ์มองว่า ฟิลิปปินส์มีความคิดไปทางตะวันตกคงไม่แคร์ว่านานาประเทศจะมองยังไง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดแบบนี้ ขณะที่อเมริกามองเรื่องผลประโยชน์ของประเทศเป็นเรื่องใหญ่เมื่อ โรดริโก ดูแตร์เต ออกมาขอโทษ ก็อาจจะเจรจาเบื้องหลังกัน อาจจะเป็นการเจรจาโดยผู้ช่วยของแต่ละฝ่ายก็อาจจะกลับมาพูดคุยกันได้

“เรื่องแบบนี้อเมริกามองว่าไม่ใช่เรื่องส่วนตัว หรือเป็นเรื่องเสียหน้าเหมือนที่คนไทยมอง แต่เขาจะมองเรื่องผลประโยชน์ของประเทศก่อน อีกทั้งบารัค โอบามาก็ไม่มีเวลาแล้ว จะมางอนมากไปก็ไม่ได้ เพราะปีหน้าต้องออกจากตำแหน่ง ถ้าเขายังมีเวลาอยู่ไม่แน่อาจจะงอนสักปีแล้วค่อยมาคุยกันก็ได้ กลับกันถ้า โรดริโก ดูแตร์เต มาพูดเบบนี้กับไทยคงสร้างปัญหาแน่นอน น่าจะมีผลกระทบ เพราะไทยค่อนข้างหน้าบาง แต่คิดว่า โรดริโก ดูแตร์เต ก็ไม่น่าจะพูดทำนองนี้กับไทย” ผศ.ดร.วิบูลพงศ์กล่าว

ขณะที่ อัครพงษ์ ค่ำคูณ อาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ ม.ธรรมศาสตร์ อธิบายว่า เป็นเรื่องภายในประเทศมากกว่า เป็นการพูดเอาใจคนฟิลิปปินส์ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจริงๆ แล้วใช้เพื่อการเมืองภายใน

กรณีดูแตเตร์ยังต้องรักษาสถานะความเป็นผู้นำประเทศ จึงอ้างเสมอว่าทำเพื่อประเทศ ไม่แปลกใจที่ออกมาในรูปนี้เพราะผู้ฟังของเขาไม่ใช่ประชาคมโลก แต่เป็นคนภายในประเทศ สมัย นายทักษิณ ชินวัตร ด่ายูเอ็นก็เหมือนกัน สุดท้ายก็ต้องขอโทษอยู่ดี อย่าลืมว่าดูแตร์เตซึ่งได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาเขามีเรื่องใหญ่กว่านั้นในประเทศ คือ การเปลี่ยนผ่านประเทศไปเป็นสหพันธรัฐอันเป็นนโยบายหาเสียงที่สำคัญที่สุดของดูแตร์เต เขาจึงต้องเอาเสียงคนภายในประเทศไว้ก่อน

การหลุดปากว่า “ลูกโสเภณี” นั้นเป็นลีลาของดูแตร์เตที่เป็นคนโผงผาง ชอบมีมุข เคยมีกรณีที่แม่ชีถูกข่มขืน ดูแตร์เตบอกว่าเป็นผมจะข่มขืน

สุดท้ายที่ต้องขอโทษก็เพราะฟิลิปปินส์เป็นลูกไล่อเมริกามานานแล้ว การเมืองในฟิลิปปินส์ไม่ได้มีแค่ดูแตร์เต แต่มีหลายฝ่าย ฝ่ายอำนาจเก่า ฝ่าย ส.ว. ดูแตร์เตมีโอกาสถูกเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโดย ส.ว.ได้ เรื่องแรกๆ ที่จะโดนคือนักล่าสังหารยาเสพติด ที่ฆ่าตัดตอนเยอะมาก โดยใช้มือปืนรับจ้างมาฆ่าโดยเฉพาะ แล้วฟิลิปปินส์มีฝ่ายศาสนจักรที่ออกมาแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างมากในช่วงนี้ ดูแตร์เตต้องหาพวกภายในประเทศเพื่อทำนโยบายหลายอย่างให้เป็นจริงโดยเฉพาะการไปสู่สหพันธรัฐ

แต่สุดท้าย อัครพงษ์บอกว่าท่าทีของผู้นำฟิลิปปินส์จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอื่นๆ แย่ลงไป เพราะ “ดูแตร์เตพูดอีกแบบทำอีกแบบเสมอ”

“อย่างกรณีศาลโลก ดูแตร์เตบอกว่าอยากทำงานกับจีน ไม่อยากพูดเรื่องคำตัดสิน แต่อยากคุยกับจีนเรื่องผลประโยชน์ เขาเล่นการเมืองภายในและคนส่วนมากไม่อยากมีปัญหากับจีนโดยเฉพาะพวกนักลงทุน

อย่าลืมว่าการทูตระหว่างประเทศคือการสามารถพลิกลิ้นได้เสมอ นักการทูตที่เก่งของฟิลิปปินส์มีหลายคนมาก ส่วนใหญ่จะพลิกกลับไปกลับมาได้ตลอดเพื่อผลประโยชน์ เหมือนการโยนหินถามทางว่าถ้าด่าไปแล้วจะเป็นยังไง ถ้าไม่ดีก็ขอโทษ แวดวงระหว่างประเทศเขารู้อยู่แล้วว่าลืมง่าย อย่างที่โอบามาไปลาว ทั้งเพลงชาติและหนังสือเรียนลาวด่าอเมริกาว่าเป็นจักรวรรดินิยมที่แย่มาก แต่พอประธานาธิบดีอเมริกามาถึงลาวก็ดีใจเพราะได้รับเงินสนับสนุน 90 ล้านดอลลาร์ ปาฐกถาของโอบามาทุก 5 นาทีจะมีภาษาลาวตลอด”

อัครพงษ์กล่าวก่อนทิ้งท้ายว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเปลี่ยนได้เสมอ เคยเป็นประเทศที่เกลียดกันมาก็จูบปากกัน ไม่เป็นไร การเมืองคือเรื่องการต่อรองผลประโยชน์”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image