ฟ้าผ่ากว่าหมื่นครั้ง! ทำไฟไหม้ป่าแคนาดากว่า 130 จุด ท่ามกลางคลื่นความร้อน
เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า เกิดไฟไหม้ป่าถึง 136 จุดทั่วทั้งรัฐบริติชโคลัมเบียของแคนาดา ผลจากการเกิดฟ้าผ่ากว่า 12,000 ครั้งในวันก่อนหน้า ซึ่งได้แผดเผาพื้นที่ทางตะวันตกของแคนาดาเป็นวงกว้าง หลังจากที่ก่อนหน้านี้เกิดคลื่นความร้อนสูงทำลายสถิติ
โดยทางรัฐบาลแคนาดาระบุว่า จะทำการส่งทหารและเครื่องบินของกองทัพไปช่วยหน่วยฉุกเฉินในรัฐบริติชโคลัมเบียในการดับไฟและช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนราว 250 คนในหมู่บ้านลิตตัน ซึ่งห่างจากเมืองแวนคูเวอร์ ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 260 กิโลเมตร ต้องรีบอพยพออกจากพื้นที่ หลังจากที่หมู่บ้านลิตตันประสบกับอุณหภูมิสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของแคนาดามากถึง 49.6 องศาเซลเซียส เมื่อวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา ก่อนที่หมู่บ้านจะถูกไฟไหม้ในเวลาต่อมา ด้านนายกเทศมนตรีแจน โพลเดอร์แมน ระบุว่า ด้วยเวลาเพียง 15 นาที เมืองทั้งเมืองท่วมไปด้วยเปลวเพลิง
ทั้งนี้คลื่นความร้อนที่พาดผ่านประเทศแคนาดา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วถึง 719 ราย ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากค่าเฉลี่ยในปีที่ผ่านๆ มาถึง 3 เท่า โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่มีอายุมาก อาศัยอยู่คนเดียวในห้องที่อากาศไม่ถ่ายเทนัก
อ.บัญชา ธนบุญสมบัติ นักวิชาการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้คำอธิบายเพิ่มเติมถึงสาเหตุการเกิดฟ้าผ่าไว้ดังนี้
คลื่นความร้อน (Heat wave) มีส่วนทำให้ฟ้าผ่ามากขึ้นเนื่องจาก
1 ) คลื่นความร้อนทำให้หิมะละลาย และทำให้น้ำจากพืชระเหยมากขึ้น
2 ) น้ำแข็งที่ละลายเมื่อโดนความร้อน ก็ระเหยไปเป็นไอน้ำในอากาศ เข้าไปเสริมกับไอน้ำจากพืช ทำให้อากาศมีความชื้นสูงขึ้น
3 ) เมื่ออากาศมีความชื้นสูงและร้อน ก็จะมีโอกาสเกิดเมฆก้อน ซึ่งเติบโตไปเป็นเมฆฝนฟ้าคะนองมากขึ้น
4 ) เมฆฝนฟ้าคะนอง (Thundercloud) หรือ คิวมูโลนิมบัส (Cumulonimbus) ก็คือเมฆที่มีฟ้าแลบฟ้าผ่า
5 ) เมื่อสายฟ้าจากฟ้าผ่าฟาดลงตรงต้นไม้ในป่า ผนวกกับอากาศที่ร้อน (ซึ่งทำให้ใบไม้ กิ่งไม้แห้งกว่าปกติ) ก็จะทำให้ต้นไม้ติดไฟ เกิดเป็นไฟป่า