พลิกแฟ้มคดี ‘ลิตวิเนนโก’ อดีตสายลับเคจีบี คดี 10 ปี เขย่าสัมพันธ์อังกฤษ-รัสเซีย (จบ)

ภาพจาก www.rt.com

อ่านตอนที่ 1 พลิกแฟ้มคดี ‘ลิตวิเนนโก’ อดีตสายลับเคจีบี คดี 10 ปี เขย่าสัมพันธ์อังกฤษ-รัสเซีย

เมื่อครั้งที่ยังเป็น “สหภาพโซเวียต” การ “กำจัด” ผู้ที่ถือว่าเป็นศัตรูนั้นกระทำกันจนเป็น “ธรรมเนียมปฏิบัติ” ที่ยึดถือกันมาเป็นเวลายาวนาน หนึ่งในคดีโด่งดังในประวัติศาสตร์ก็คือ การลอบสังหาร ลีออน ทร็อตสกี้ แกนนำคนสำคัญของบอลเชวิค ที่ถูกขับออกจากพรรค หลังจากลี้ภัยไปใช้ชีวิตอยู่ในเม็กซิโกนานกว่าหนึ่งปี

โจเซฟ สตาลิน ส่งกลุ่มมือปืนบุกถล่มบ้านพักที่มีองครักษ์คุ้มกันอย่างแน่นหนาเพื่อสังหารเป็นครั้งแรก แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ทร็อตสกี้มาเสียชีวิตในการลอบสังหารครั้งที่สองด้วยสายของเคจีบีที่แทรกซึมเข้าไปอยู่ภายใน ใช้ขวานน้ำแข็ง (ไอซ์ พิค-ด้านหนึ่งแบนมีคม อีกด้านเรียวแหลม ใช้เฉาะหรือจับแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่) เฉาะศีรษะของอดีตผู้นำบอลเชวิค ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในวันถัดไป

หรือกรณีของ เกรกอรี มาร์คอฟ ผู้นำฝ่ายค้านบัลแกเรียที่ถูกสังหารด้วยเม็ดไรซิน (ยาพิษที่สกัดจากเมล็ดละหุ่ง) ซึ่งยิงจากก้านร่ม บน “วอเตอร์ลูบริดจ์” สะพานข้ามแม่น้ำเทมส์ ที่ถูกตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่ชัยชนะของอังกฤษในสงครามวอเตอร์ลู ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

Advertisement

เคจีบียังปฏิบัติการลอบสังหารทำนองเดียวกันต่อบรรดาแกนนำชาตินิยมยูเครนอีกหลายคน ใช้ทั้งยาพิษ เรื่อยไปจนถึงวิธีพิสดารอย่าง “เค้กระเบิด” อีกด้วย

การฆ่าของเคจีบีแตกต่างกันออกไปหลากหลาย ตั้งแต่การลงมือให้รู้ว่าเป็นการฆ่าคนของตนเองเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่าง ทำนองเชือดไก่ให้ลิงดู เรื่อยไปจนถึงการสังหารอย่างแนบเนียน ชนิดที่มองหาแทบตายยังไม่เห็นริ้วรอยการลงมือว่าเป็นฝีมือของเคจีบี

ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ให้เหตุผลด้วยข้ออ้างง่ายๆ เพียงอย่างเดียวว่า เพื่อปกป้องการปฏิวัติบอลเชวิค

Advertisement

การลอบสังหารทำนองนี้ ยุติไปโดยสิ้นเชิงในยุคที่ บอริส เยลต์ซิน ผู้นำคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซียขึ้นมามีอำนาจ ห้องปฏิบัติการลับสำหรับผลิต “ยาพิษ” ที่สร้างขึ้นโดยคำสั่งของ วี.ไอ. เลนิน เมื่อปี 1917 ถูกทุบทำลาย

แต่หลังจากปี 2000 เมื่อ วลาดิมีร์ ปูติน ก้าวขึ้นครองอำนาจอีกครั้ง อดีตสายลับเคจีบีผู้นี้ก็ถูกกล่าวหาว่าฟื้นปฏิบัติการลอบสังหารลับๆ แบบ “โซเวียตสไตล์” ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ ต่อต้าน เรื่อยไปจนกระทั่งถึงผู้สื่อข่าว และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนทั้งหลาย ลงเอยด้วยความตายอย่างน่าฉงน

ทั้งๆ ที่ไม่อาจใช้ข้ออ้างเพื่อปกป้องการปฏิวัติบอลเชวิคได้อีกต่อไปแล้วก็ตาม

แต่ อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก ไม่ใช่เหยื่อทั่วๆ ไป การใช้ชีวิตในฐานะเจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงภายใน (เอฟเอสบี) ของรัสเซีย ทำให้เขาพัฒนาความสามารถในการสังเกตและจดจำขึ้นสู่ระดับสูง เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งของการฝึกพื้นฐานของเอฟเอสบีทุกคน

การทำหน้าที่ในทำนองเดียวกับเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวน ยิ่งทำให้ทักษะด้านนี้ของลิตวิเนนโกแหลมคมมากยิ่งขึ้น เขาเรียนรู้การบ่งบอกลักษณะคนร้าย ความสูง รูปร่าง สีผิว และลักษณะเด่นต่างๆ สวมเสื้อผ้าแบบไหน มีเครื่องประดับติดตัวหรือไม่ อายุมากน้อยเพียงใด เรื่อยไปจนถึงนิสัยอย่างสูบหรือไม่สูบบุหรี่ เป็นต้น รู้วิธีจดจำคำสนทนา ตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ อย่างการรับสารภาพ เรื่อยไปจนถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่นใครเป็นคนเสนอเครื่องดื่มให้ใคร

เพราะการทำหน้าที่ในเอฟเอสบีนี่เองที่ทำให้ลิตวิเนนโกเจอความจริงช็อกโลกที่ว่า หน่วยงานความมั่นคงแทบทั้งหมดของรัสเซียในเวลานี้ ถูกอุดมการณ์ของแก๊งอาชญากรรมครอบงำแทรกซึมอย่างทั่วถึง ในทรรศนะของเขา อุดมการณ์อาชญากรกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาแทนที่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ในรัสเซียยุคใหม่

ลิตวิเนนโกเป็นคนแรกที่ใช้คำว่า “มาเฟียสเตท” เรียกรัสเซียของปูติน โดยขยายความไว้ว่า เราไม่สามารถแยกแยะรัฐบาลออกจากแก๊งอาชญากรรมและองค์กรลับได้อีกแล้ว

เมื่อ เบรนท์ ไฮแอท สารวัตรสืบสวนสอบสวนของสกอตแลนด์ยาร์ด จากหน่วยอาชญากรรมพิเศษ เข้าไปบันทึกและสอบปากคำเขาถึงเตียงพยาบาล ลิตวิเนนโกจึงสามารถให้รายละเอียดทุกอย่างที่เป็นที่มาของการ “วางยาพิษ” ตัวเอง ด้วยข้อมูลและรายละเอียดที่น่าทึ่ง หมดจด คำให้การของเขาช่วยให้งานของเจ้าหน้าที่ง่ายขึ้นมากมายมหาศาล ชนิดที่เขาสามารถจำกัดวงผู้ต้องสงสัยที่ “สามารถวางยา” ตัวเองลงได้เหลือเพียง 3 ราย

2 คนในจำนวนดังกล่าวคือ แอนเดร ลูโกวอย กับ ดมิตรี คอฟตุน จำเลยสำคัญในคดีนี้

ลิตวิเนนโกบอกเล่าอย่างละเอียดว่า เมื่อเดินทางไปถึงโรงแรมมิลเลนเนียม ลูโกวอยตรงมาหาและเชื้อเชิญเขาสู่ “ไพน์บาร์” จุดอับจากการติดตามของกล้องวงจรปิด 48 ตัว เพียงไม่กี่จุดของโรงแรมแห่งนี้

เมื่อติดตามลูโกวอยเข้าสู่บาร์แห่งนั้น ลิตวิเนนโกพบว่าแขกของเขาไม่เพียงมีโต๊ะอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น ยังสั่งเครื่องดื่มไว้เรียบร้อยแล้วอีกด้วย ลูโกวอยนั่งลงบนเก้าอี้ที่ด้านหลังติดผนัง ลิตวิเนนโกทรุดนั่งด้านตรงกันข้าม มีแก้วเครื่องดื่มอยู่บนโต๊ะ ไม่มีขวดเครื่องดื่ม แต่มีถ้วยชาจำนวนหนึ่งกับชาอีกกา

“คุณจะดื่มอะไรไหม?” ลูโกวอยทวนคำถามของพนักงานบาร์ที่เดินเข้ามาหา เมื่อได้รับคำปฏิเสธก็บอกว่า “โอเค เราคงอยู่กันไม่นานนักหรอก อ้อ แต่มีชาเหลืออยู่หน่อยนึง ถ้าอยากดื่มก็ได้นะ”

ลิตวิเนนโกให้การว่า ลูโกวอยสั่งพนักงานให้นำถ้วยชาใบใหม่มาให้ เมื่อได้ถ้วยใบใหม่ เขารินชาจากกาบนโต๊ะจนเหลือติดก้นกาเล็กน้อยเท่านั้น

“ผมรินชาเพียงครึ่งถ้วย ทั้งหมดคงราว 50 กรัมเห็นจะได้” ลิตวิเนนโกบอกและให้การต่อว่า จิบชาจากถ้วยใหม่ใบนั้นไปหลายครั้ง แต่นอกจากจะเป็นชาที่ยังไม่เติมน้ำตาลแล้วยังเย็นชืดอีกด้วย เขาดื่มไปไม่หมดถ้วยด้วยซ้ำ

“ชากานั้นมีอยู่บนโต๊ะแล้ว?” คือคำถามของไฮแอท คำตอบคือใช่

“แอนเดร ดื่มชาจากกานั้นอีกไหม ต่อหน้าคุณ?” คำตอบทันควันคือ ไม่

ถึงตอนนี้ คอฟตุนเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา ลิตวิเนนโกยืนยันว่า เขารี่เข้ามาในทันที ราวกับรู้ที่นั่งดีอยู่แล้ว บางทีอาจเพิ่งผละออกไปจากโต๊ะและกลับเข้ามาใหม่ด้วยซ้ำ

เขาตั้งข้อสังเกตว่า ลูโกวอยออกอาการคะยั้นคะยอเล็กน้อยเรื่องเครื่องดื่ม แต่ไม่มากจนผิดสังเกต แต่ลิตวิเนนโกไม่ชอบชาเย็นชืด และไม่ได้ดื่มต่อ เขาพบด้วยว่าคอฟตุนเองก็ไม่ได้ดื่มชากานั้นอีกด้วย

การสนทนากินเวลาเพียง 20 นาที ภรรยาและลูกของลูโกวอยเป็นผู้เข้ามาตัดบท ที่สายจากมอสโกตอบรับด้วยความยินดี

วัตถุประสงค์ในการเดินทางมาลอนดอนของเขาครั้งนี้ลุล่วงแล้ว

เจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์จากสกอตแลนด์ยาร์ดเข้าไปตรวจสอบหลายจุดในโรงแรมมิลเลนเนียม ทั้งตามรอยของกล้องวงจรปิดและตามคำบอกเล่าของลิตวิเนนโก นอกจากตรวจสอบออเดอร์เครื่องดื่มทั้งหมดแล้ว ไพน์บาร์ก็ถูกตรวจสอบทั่วทั้งพื้นที่ รวมทั้งโต๊ะ ถ้วยโถโอชาม ช้อน ซอส เหยือกนม ฯลฯ ที่ไม่พลาดก็คือ กาชา 100 กาที่บาร์แห่งนี้มีอยู่ ทั้งกาชาเซรามิกสีขาวของลิตวิเนนโกหาได้ไม่ยาก เครื่องอ่านกัมมันตรังสีอ่านค่าได้สูงถึง 100,000 เบคเคอเรลต่อตารางเซนติเมตรต่อวินาที (เบคเคอเรล เป็นหน่วยที่ใช้วัดกัมมันตภาพ 1 เบคเคอเรล หมายถึง การสลายตัวของนิวไคลด์กัมมันตรังสี 1 ครั้งต่อวินาที)

ปริมาณสูงสุดของกัมมันตรังสีพบที่ท่อเครื่องล้างจาน ในขณะที่ค่าบนโต๊ะที่พวกเขานั่ง อ่านค่าได้ 20,000 เบคเคอเรล

เพียง 10,000 เบคเคอเรล แค่ครึ่งหนึ่งของปริมาณที่พบบนโต๊ะ ถ้าหาก “กลืนกิน” เข้าไป ก็มากพอที่จะคร่าชีวิตคนคนหนึ่งได้แล้ว

พวกเขาพบร่องรอยของโพโลเนียม-210 ทั้งในเครื่องล้างจาน บนพื้นไพน์บาร์ มือจับเครื่องชงกาแฟ บนเก้าอี้ที่คนทั้ง 3 นั่ง เรื่อยไปจนถึงสตูลเปียโน เห็นได้ชัดว่าทั้งลูโกวอยและคอฟตุนรู้ดีว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นสุ่มเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์อีกเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาไม่ไยดีแม้แต่น้อย

หลักฐานสำคัญกลับไม่ได้อยู่ที่ไพน์บาร์ แต่อยู่ในอีกหลายชั้นเหนือขึ้นไป ที่ห้องหมายเลข 382 ห้องพักของดมิตรี คอฟตุน ทีมเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบพบว่า ท่อข้องอสำหรับน้ำทิ้งจากอ่างล้างหน้าในห้องน้ำของห้องพักนี้ มีค่าโพโลเนียม-210 วัดได้สูงถึง 390,000 เบคเคอเรล เป็นค่าที่สูงมากจนไม่อาจเป็นการ “ปนเปื้อน” แต่เป็นค่าที่อ่านได้จากตัวโพโลเนียมโดยตรงเท่านั้น

หลังวางยาพิษลิตวิเนนโกแล้วเสร็จ คอฟตุนกลับเข้าไปในห้อง ทิ้งโพโลเนียมที่หลงเหลืออยู่ในครอบครองทั้งหมดลงในอ่างล้างหน้า

เจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปว่า คอฟตุนไม่เพียงรู้เห็นและสมรู้ร่วมคิดกับการวางยาพิษครั้งนี้เท่านั้น ยังเป็นผู้รับผิดชอบในการนำสารมรณะติดตัว และพยายามทำลายหลักฐานทิ้งเมื่อเสร็จงาน

โพโลเนียมไม่ใช่สารพิษธรรมดา แต่หาได้ยากเย็นอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะอธิบายเรื่องอื่นๆ ไปในทางไหน คอฟตุนไม่มีทางให้เหตุผลเรื่องโพโลเนียมในห้องน้ำของตนเองได้เลย!

น่าสนใจตรงที่วันที่การลงมือประสบผล คือวันที่ 1 พฤศจิกายน ปี 2000 อันเป็นวันครบรอบ 6 ปีที่ลิตวิเนนโกหลบหนีออกมาใช้ชีวิตอยู่ในอังกฤษพอดิบพอดี

ลิตวิเนนโกไม่ได้เสียชีวิตในทันที เขาไม่รู้ด้วยซ้ำในวันนั้นว่าเขากำลังจะตาย

แต่นับจากวินาทีที่เขาดื่มชาไม่กี่อึกนั้นลงไป แม้แต่ทีมแพทย์จากสวรรค์ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตเขาได้แล้ว!

17วันหลังจากวันนั้น อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก นอนอยู่บนเตียงของหออภิบาลผู้ป่วยหนัก บนชั้นที่ 16 ของโรงพยาบาลยูนิเวอร์ซิตี้ คอลเลจ โดยใช้ชื่อ เอ็ดวิน เรดวาลด์ คาร์เตอร์ ชื่อแฝงที่เขาใช้ในประเทศอังกฤษ อาการหนักปางตาย คณะแพทย์งุนงง มะงุมมะงาหราอยู่กับอาการของเขาไม่น้อย แต่ไม่นานก็กระจ่างและชี้ขาดในเบื้องต้นว่า อาการของเขาคือผลพวงของการได้รับพิษจากสารกัมมันตรังสี “ทัลเลียม” ซึ่งคล้ายคลึงกับผลของโพโลเนียมมาก นั่นคือเหตุผลที่สกอตแลนด์ยาร์ดได้รับแจ้งให้เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับเอ็มไอ 6 ในเวลาต่อมา การตรวจสอบจากสำนักงานปรมาณูแห่งอังกฤษพบว่า ยาพิษของลิตวิเนนโกไม่ใช่ทัลเลียม หากแต่เป็นโพโลเนียม-210

อาการของเขาทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว ผมร่วงจนหมดศีรษะ อวัยวะภายในทยอยล้มเหลวลงไปเรื่อยๆ ไม่เพียงสกอตแลนด์ยาร์ดเท่านั้น แม้แต่ลิตวิเนนโกเองก็รู้ตัวดีว่า การสอบสวนคดีของเขาต้องทำงานแข่งกับเวลา

เวลา 21.31 น. ของวันที่ 22 พฤศจิกายน 2000 ลิตวิเนโกก็สิ้นลมหายใจ การสอบปากคำแล้วเสร็จไปไม่นานก่อนหน้านั้น

ไฮแอทถามคำถามสำคัญกับลิตวิเนนโกไว้ในตอนหนึ่งของการสอบสวนว่า คิดว่าใครกันที่พยายามทำอย่างนี้กับคุณ?

“ผมไม่เคยสงสัยเลยว่าคนที่ต้องการให้ผมตายเป็นใคร ผมมักได้รับคำขู่อยู่บ่อยครั้งจากคนเหล่านี้ คราวนี้พวกนั้นลงมือสำเร็จ…ไม่ต้องสงสัย นี่เป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่สืบราชการลับรัสเซียแน่นอน ผมเคยอยู่ในระบบ ผมรู้ดีว่า มีคำสั่งฆ่าทำนองนี้ต่อพลเรือนของประเทศอื่น หรือพลเรือนรัสเซียในประเทศอื่น โดยเฉพาะเมื่อต้องมาลงมือในประเทศอังกฤษนั้น ออกมาจากใครกัน”

บอกได้ไหมว่าใคร? ไฮแอทซัก

“คนคนนั้นคือ ประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน

“คุณก็รู้ดีนะว่า ในฐานะที่ยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี คุณไม่มีทางดำเนินคดีกับเขาได้ในฐานะผู้ที่ออกคำสั่ง เพราะนี่คือผู้นำของประเทศใหญ่ เต็มไปด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เคมี และอาวุธชีวภาพ

“แต่ผมแน่ใจชนิดไม่มีอะไรเคลือบแคลงว่า ไม่นาน ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงอำนาจในรัสเซีย หรือเมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยปฏิบัติการพิเศษของรัสเซียสักคนแปรพักตร์มาเข้ากับตะวันตก เขาก็คงพูดอย่างเดียวกันกับที่ผมพูด

“เขาจะบอกคุณว่า ผมถูกหน่วยสืบราชการลับของรัสเซียวางยาพิษตามคำสั่งของปูติน”

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image