ยังไม่ผ่าน! ไต้หวันปัดคำขออนุมัติใช้วัคซีนต้านโควิดที่ผลิตเอง
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทางการไต้หวันปฏิเสธที่จะอนุมัติรับรองให้ใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่พัฒนาโดย ยูบีไอ ฟาร์มา (UBI Pharma) บริษัทเภสัชกรรมในไต้หวัน ให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉินในไต้หวันได้ การตัดสินใจดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของรัฐบาลประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ที่มุ่งมั่นผลักดันให้ไต้หวันได้ใช้วัคซีนโรคโควิด-19 ที่พัฒนาขึ้นเอง อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีไช่ระบุว่า เธอจะฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัท เมดิเจน วัคซีน ไบโอลิจิกส์ ซึ่งเป็นของไต้หวันเช่นกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนการใช้วัคซีนที่ไต้หวันพัฒนาได้เองต่อไป
กระทรวงสาธารณสุขไต้หวันชี้แจงถึงการปฏิเสธให้อำนาจใช้เป็นกรณีฉุกเฉิน(อียูเอ) แก่วัคซีนของยูบีไอว่า เนื่องจากการก่อภูมิคุ้มป้องกันโรคที่กระตุ้นด้วยวัคซีนสูตรของทางยูบีไอนั้นได้ไม่เทียบเท่ากับวัคซีนต้านโควิดของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าที่ไต้หวันใช้อยู่ โดยนายเฉิน ฉือ จง รัฐมนตรีสาธารณสุขไต้หวัน แสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจดังกล่าว และว่า เราต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนด อย่างไรก็ดีกระทรวงสาธารณสุขไต้หวันระบุว่า ยูบีไอยังมีแผนที่จะทำการทดลองทางคลินิกเฟส 3 สำหรับวัคซีนสูตรนี้ในอินเดียต่อไป
เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมายูบีไอระบุว่าบริษัทได้ยื่นขออำนาจใช้เป็นกรณีฉุกเฉินสำหรับวัคซีนนี้ในไต้หวันและได้ทำการทดลองทางคลินิกเฟสที่ 2 แล้วแสดงให้เห็นว่าไม่มีอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงใดๆ และยังตอบสนองต่อการสร้างภูมิคุ้มกันได้ดี
ทั้งนี้ไต้หวันได้สั่งซื้อวัคซีนต้านโควิดของโมเดอร์นาและแอสตร้าเซนเนก้าจำนวนหลายล้านโดสในการนำมาฉีดให้กับประชาชน แต่รัฐบาลนางไช่มุ่งหมายให้ใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่พัฒนาขึ้นได้เองในไต้หวัน โดยในสัปดาห์หน้าไต้หวันจะเริ่มรณรงค์ฉีดวัคซีนต้านโควิดของบริษัทเมดิเจน วัคซีน ไบโอโลจิกส์ ที่เป็นบริษัทในไต้หวันด้วย ซึ่งประธานาธิบดีไช่เองจะรับการฉีดวัคซีนของเมดิเจนเข็มแรกในต้นสัปดาห์หน้า
ก่อนหน้านี้รัฐบาลนางไช่ถูกฝ่ายค้านวิพากษ์วิจารณ์หลังจากออกมาบอกว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนที่พัฒนาขึ้นในท้องถิ่นภายในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก่อนที่ผลการทดลองทางคลินิกในเฟสที่ 2 จะมีการเผยแพร่ออกมา ในภายหลังประธานาธิบดีไช่กล่าวว่า ไต้หวันจะพิจารณากระบวนตามหลักการทางวิทยาศาสตร์โลกอย่างเข้มงวดและยึดความปลอดภัยมาก่อน
ทั้งนี้มีชาวไต้หวันราว 40% จากประชากระทั้งสิ้น 23.5 ล้านคน ที่ได้ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส
