งานวิจัยชิ้นล่าสุดของนักวิชาการจากฝรั่งเศสซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์เผยข้อมูลชวนตะลึงว่าการปลูกต้นไม้โตเร็วประเภทสนในยุโรปกลับเป็นการเร่งให้เกิดภาวะโลกร้อนเพิ่มขึ้น
งานวิจัยชิ้นนี้ระบุว่าไม้สนซึ่งเป็นไม้ที่นิยมปลูกกันมากในประเทศแถบยุโรปในปัจจุบันเนื่องจากเป็นไม้โตเร็วและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เร็วกว่าไม้เนื้อแข็งซึ่งโตช้า แต่ป่าสนซึ่งมีสีเข้มจะมืดและดูดซับความร้อนมากกว่าไม้ใบใหญ่อย่างต้นโอ๊คหรือต้นเบิร์ช ซึ่งช่วยสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์กลับไปสู่ชั้นบรรยากาศได้ดีกว่า ส่งผลให้ความร้อนเหนือยุโรปเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 0.12 องศา และทำให้อุณหภูมิเพิ่มขึ้นราว 6% เมื่อเทียบกับภาวะโลกร้อนที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงานถ่านหิน
ปัจจุบันปริมาณของผืนป่าในยุโรปเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับก่อนยุคปฎิวัติอุตสาหกรรมซึ่งเป็นผลมาจากการหันไปใช้เชื้อเพลิงจากถ่านหิน แต่สิ่งที่ต่างจากในอดีตคือปัจจุบันราว 85% ของผืนป่าในยุโรปเป็นผืนป่าที่เกิดขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ซึ่งมักจะเลือกปลูกไม้ที่โตเร็ว แต่งานวิจัยชี้ว่าผืนป่าเหล่านี้ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้น้อยกว่าผืนป่าธรรมชาติ ขณะที่การโค่นป่าอย่างเป็นระบบด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ยิ่งเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไปสู่ชั้นบรรยากาศมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันรัฐบาลในหลายประเทศวางแผนที่จะเพิ่มพื้นที่ป่าซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญเพื่อการจัดการกับปัญหาโลกร้อน อย่างไรก็ดีนักวิจัยชี้ว่าประเด็นสำคัญกว่าคือการระมัดระวังในการเลือกชนิดของต้นไม้ที่จะปลูกและวิธีการกำหนดวิธีบริหารจัดการให้ดี เพราะจากผลวิจัยนี้ชี้ว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ในยุโรปที่มีการปลูกต้นไม้เพื่อหวังให้ช่วยทดแทนการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับไม่สามารถทำให้โลกเย็นขึ้นได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการปลูกป่าทดแทนด้วยไม้สน