สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายน องค์คณะผู้พิพากษาของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ตัดสินลงโทษ นายอาหมัด อัล ฟากี อัล มาห์ดี นักรบติดอาวุธมุสลิมสุดโต่งชาวมาลี 9 ปี ในความผิดข้อหาทำลายปูชนียสถานทิมบุกตูซึ่งเป็นมรดกโลกขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ทางตอนเหนือของประเทศมาลีเมื่อปี 2555 นับเป็นคำพิพากษาครั้งประวัติศาสตร์ที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าจะมีส่วนช่วยในการปกป้องรักษาโบราณสถานสำคัญหลายแห่งของโลกที่อยู่ในสถานะเปราะบาง
“นายมาห์ดี เป็นผู้ควบคุมและสั่งการในการทำลาย” ราอูล ปันกาลังกัน หัวหน้าองค์คณะผู้พิพากษากล่าว และว่า “คณะผู้พิพากษา เห็นพ้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ว่านายอัล มาห์ดีมีความผิดในข้อหาก่ออาชญากรรมต่อสถานที่ที่ต้องปกป้อง หรือเท่ากับความผิดในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม ซึ่งมีความร้ายแรงอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นศาลจึงเห็นพ้องกันว่าให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 9 ปี”
ข่าวระบุว่าคำพิพากษานี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่ให้การทำลายสถานที่สำคัญทางวัฒนธรรมเพียงอย่างเดียวถือว่ามีความผิดในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม และเป็นคดีแรกที่มีการลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งภายในของประเทศมาลี ซึ่งกลุ่มติดอาวุธมุสลิมสุดโต่งก่อเหตุโจมตีพื้นที่ห่างไกลทางภาคเหนือของประเทศเมื่อปี 2555
คาดว่าคำพิพากษาดังกล่าวน่าจะเป็นที่พอใจของพนักงานอัยการเจ้าของสำนวนซึ่งเรียกร้องโทษจำคุกนายมาห์ดีระหว่าง 9-11 ปีหากพิจารณาจากว่านายมาห์ดียอมรับสารภาพผิดต่อหน้าศาล
ผู้สังเกตการณ์หลายรายระบุว่า หวังว่าคดีนี้จะเป็นการป้องปรามการกระทำแบบเดียวกัน ขณะที่ไอซีซีระบุว่าคำพิพากษาในคดีนี้เป็นเหมือนเป็นคำเตือนส่งไปยังผู้ที่มีแผนการรื้อถอนทำลายมรดกทางวัฒนธรรมเช่นนี้ในอนาคต ด้านยูเนสโกแสดงความยินดีต่อคำตัดสินคดีนี้โดยระบุว่าเป็นคำพิพากษาครั้งประวัติศาสตร์ในการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม
ทั้งนี้ เมืองโบราณทิมบุกตูสร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 5-12 โดยชนเผ่าทัวเร็ก ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองแห่งนักบุญ 333 รูป” และ “ไข่มุกแห่งทะเลทราย” ได้รับการยกย่องว่าเป็นศูนย์กลางด้านการศึกษาของศาสนาอิสลามในช่วงยุคทองระหว่างศตวรรษที่ 15-16 และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของยูเนสโกเมื่อปี 2531 อย่างไรก็ตาม กลุ่มสุดโต่งที่บุกรุกมาลีเมื่อปี 2555 มองว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเมืองนี้เป็นรูปเคารพแบบหนึ่งซึ่งผิดหลักศาสนาอิสลาม