แค่ 19 เดือน! ยอดดับโควิดโลกทะลุ 5 ล้าน ป่วยสะสมใกล้แตะ 250 ล้าน
หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นเวลานานกว่า 19 เดือน ล่าสุด ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั่วโลกทะลุ 5 ล้านรายแล้วจากสถิติที่มหาวิทยาลัยจอนห์ ฮอปกินส์ เก็บรวบรวมขึ้น
แม้วัคซีนจะช่วยทำให้อัตราผู้เสียชีวิตลดลง แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขระบุว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตที่แท้จริงน่าจะสูงกว่านี้มาก ทั้งยังมีการเตือนด้วยว่าในบางพื้นที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนอีกด้วย
ล่าสุด มีรายงานผู้เสียชีวิตทั่วโลกเพิ่มขึ้น 4,601 รายในหนึ่งวัน ขณะที่จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้น 306,608 คน ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ราว 246.7 ล้านคน ใกล้จะแตะ 250 ล้านคนเข้าไปทุกที
ด้านองค์การอนามัยโลกคาดว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่แท้จริงจะสูงกว่าตัวเลขทางการ 2-3 เท่า ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเชื่อว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ต่ำกว่าความเป็นจริงเพราะยังมีผู้ที่เสียชีวิตที่บ้านรวมถึงผู้ที่เสียชีวิตตามชุมชนในชนบท
การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้เสียชีวิตอีก 1 ล้านคนทั่วโลกจาก 4 ล้านเป็น 5 ล้านรายใช้เวลาราว 110 วัน เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตจาก 3 ล้านเป็น 4 ล้านรายใช้เวลาไม่ถึง 90 วัน โดยสหรัฐยังเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดที่ 745,800 ตามด้วยบราซิล 607,824 และอินเดีย 458,437
แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจะลดลงซึ่งแสดงให้เห็นว่าวัคซีนมีส่วนช่วยในเรื่องดังกล่าว แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนองค์การอนามัยโลกก็ออกมาเตือนว่ายังอีกไกลกว่าที่การแพร่ระบาดจะยุติลง นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ได้ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อในยุโรป ซึ่งมีหลายประเทศที่ยังมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ จนเห็นการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตอย่างชัดเจน
ขณะที่ในรัสเซีย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายวันทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดขึ้น โดยในจำนวนผู้เสียชีวิต 1 ล้านคนล่าสุดทั่วโลกเป็นผู้เสียชีวิตในรัสเซียถึง 10%
นับจนถึงขณะนี้มีการฉีดวัคซีนทั่วโลกแล้ว 7,000 ล้านโดส แต่ยังคงมีช่องว่างระหว่างชาติร่ำรวยกับชาติยากจนอยู่มาก โดยประเทศที่มีรายได้ต่ำมีประชากรเพียง 3.6% เท่านั้นที่ได้รับวัคซีน
กีบรีเยซุสระบุว่า หากมีการกระจายวัคซีนอย่างเท่าเทียม ขณะนี้ทุกประเทศในโลกก็จะมีผู้ได้รับวัคซีนได้ถึง 40% ตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่การที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเพราะความไม่เท่าเทียมกันที่เกิดขึ้น
