รูปรอบโลก : เกษตรกร ผู้ประสบผลกรรมจากโลกร้อน
หวัง เยว่ ถังเดินสำรวจพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นไร่ข้าวโพดและถั่ว ก่อนจะได้รับความเสียหายอย่างหนักเนื่องจากสภาพอากาศที่แปรปรวน
3 เดือนหลังจากที่เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ส่วนใหญ่ของมณฑลเหอหนานของจีน พื้นที่เพาะปลูกหลายแห่งยังมีน้ำท่วมสูงหลายนิ้ว และนี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบนโลก ซึ่งเราต้องแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน
“ไม่เหลืออะไรเลยปีนี้ มันไปหมดเลย ชาวไร่ในพื้นที่ลุ่มต่ำไม่เหลืออะไรให้เก็บเกี่ยวเลย” นายหวังสูญเสียพืชผลในการเพาะปลูกช่วงฤดูไปกับสายน้ำ และในช่วงปลายเดือนตุลาคม ดินยังคงเปียกชื้นเกินกว่าจะปลูกพืชสำหรับฤดูหนาว อย่าง ข้าวสาลีฤดูหนาว
ส่วนที่สวนใกล้เคียงก็เหลือเพียงถั่วฝักยาวที่เหี่ยวเฉา หัวกะหล่ำที่เป็นรูพรุนแช่อยู่ในน้ำขังและมีแมลงหวี่ตอม ข้าวโพดบางฝักยังพอเก็บมาใช้ได้แต่เปลือกที่ขึ้นรา ทำให้ข้าวโพดเหล่านี้เป็นได้แค่อาหารสัตว์ ซึ่งขายได้ในราคาถูกกว่ามาก
เหตุการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคมเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 40 ปี นอกจากนี้เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสภาพอากาศที่รุนแรงมากขึ้นซึ่งประเทศจีนกำลังเผชิญอยู่ซึ่งเป็นผลของโลกร้อน โดยสภาพอากาศที่เกษตรกรพึ่งพาในการทำการเกษตรนั้นไม่เสถียรมากขึ้น
ริชาร์ด ซีเกอร์ นักวิทยาศาสตร์ด้านสภาพอากาศจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียกล่าวว่า “ในขณะที่บรรยากาศอุ่นขึ้น อากาศก็สามารถกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ดังนั้นเมื่อเกิดพายุ ฝนก็อาจตกหนักมากขึ้น และมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งเกิดจากมนุษย์จะทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่เหมือนที่เห็นในฤดูร้อนที่ผ่านมา เช่น ในจีนและยุโรป”
จีน ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกหรือราว 1,400 ล้านคน ปัจจุบันเป็นประเทศที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมากที่สุด เพราะจีนปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ราว 28% ซึ่งทำให้โลกร้อนขึ้น แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะเป็นผู้ปล่อยมลพิษมากที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ตาม
ในขณะที่ผู้นำโลกเข้าร่วมการประชุมค็อป26 จีนกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ได้กำหนดเป้าหมายในการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้เร็วกว่านี้
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งไม่ได้เดินทางออกจากจีนเลยนับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 และจะไม่เข้าร่วมการประชุม แต่ส่งผู้เจรจาที่มีประสบการณ์ไปแทน ได้กล่าวว่าการปล่อยคาร์บอนของจีนจะลดลงก่อนปี 2030 ซึ่งนักวิจารณ์คิดว่ายังไม่ดีพอ
การคาดการณ์ของรัฐบาลจีนทำให้เห็นอนาคตที่น่ากังวล ทั้งระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเมืองชายฝั่งสำคัญ ๆ ซึ่งรวมถึงเซี่ยงไฮ้ กวางโจวและฮ่องกง ธารน้ำแข็งและชั้นน้ำแข็งที่กำลังละลาย ทำให้พื้นที่แหล่งน้ำทางตะวันตกของจีนและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ทางรถไฟข้ามที่ราบสูงทิเบต ตกอยู่ในอันตราย
นักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกะทิของรัฐบาลยังคาดการณ์ถึงความรุนแรงของความแห้งแล้ง คลื่นความร้อน และปริมาณน้ำฝนทั่วประเทศที่ส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตรและอ่างเก็บน้ำและเขื่อน ซึ่งรวมถึงเขื่อนซานเสียต้าป้า
ในขณะเดียวกัน ชาวจีนกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง เช่นเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก โดยผู้ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนน้อยที่สุดและมีทรัพยากรเพื่อการปรับตัวน้อยที่สุด มักจะได้รับผลกระทบหนักที่สุด
ในปลายเดือนกรกฎาคม รายการข่าวของจีนได้เผยภาพที่น่าตกใจเกี่ยวกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนักที่เมืองเจิ้งโจว เมืองเอกของมณฑลเหอหนาน โดยฝนตกมากถึง 8 นิ้วในชั่วโมงเดียว ส่งผลให้รถถูกพัดไปกับน้ำ รถไฟใต้ดินถูกน้ำท่วม และผู้คนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยระดับน้ำที่สูงถึงเอว ในเหตุการณ์นี้ผู้คนมากกว่า 300 คนต้องเสียชีวิต เมื่อนี้กลายเป็นเมืองเวนิสโดยไม่ได้ตั้งใจ และถนนทางหลวงในเมืองกลายเป็นคลองโคลน
เศรษฐกิจของที่นี่พึ่งพาการค้าข้าวโพด ข้าวสาลีและผัก และในภูมิภาคอื่น ๆ ของจีนก็พึ่งพาอาหารจากมณฑลนี้ รัฐบาลท้องถิ่นรายงานว่าพื้นที่เกษตรกรรมราว 7 ล้านไร่ถูกน้ำท่วม โดยสร้างความเสียหายรวมกว่า 18,000 ล้านดอลลาร์ (590,760 ล้านบาท)
เครื่องสูบน้ำนั้นมีจำกัดจึงต้องแบ้่งกันใช้ในหมู่เกษตรกรในมณฑลเหอหนาน ท่อพลาสติกแบบอ่อนถูกวางข้ามทุ่งเพื่อใช้ระบายน้ำ แต่ท่อเหล่านั้นก็ชำรุดและแตกเป็นช่วงๆ
นางซ่ง ชาวนาวัย 58 กล่าวว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีจมอยู่ใต้น้ำทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้าน เฟอร์นิเจอร์ ทุ่งนา หรืออุปกรณ์ทำการเกษตร
“เก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้เลย ปีนี้ชาวบ้านเดือดร้อนกันตลอดทั้งปี คนธรรมดาๆคือคนที่ลำบากมากที่สุด”