ข่าวเด่นรอบโลกปี2021

ข่าวเด่นรอบโลกปี2021

ในปี 2020 มีเรื่องราวเหตุการณ์ไม่คาดคิดอุบัติขึ้นมากมายบนโลกใบนี้ ถึงคราวส่งท้ายปี ทีมข่าวต่างประเทศมติชน ก็ขอประมวลภาพเหตุการณ์ใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในรอบปีนี้มาส่งท้ายให้ท่านผู้อ่านได้ย้อนรำลึกกันอีกครั้ง เริ่มจาก

เหตุรัฐประหารเมียนมา
นับเป็นข่าวใหญ่ของโลกและของไทย เมื่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างเมียนมา เกิดการรัฐประหารในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โดยนายพลมินอ่องลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในวันนั้นกองทัพเมียนมาได้เข้าจับกุมควบคุมตัวนางอองซานซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ และบรรดาผู้นำพลเรือนจากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอแอลดี) ซึ่งรวมถึงนายวิน มยิน ประธานาธิบดีของเมียนมา พร้อมทั้งปิดสถานีโทรทัศน์และตัดสัญญาณอินเตอร์เน็ตเป็นบางช่วงด้วย หลังจากประชาชนรู้ว่าเกิดเหตุรัฐประหาร พวกเขาได้ออกมาชุมนุมประท้วงกันตามท้องถนนในนครย่างกุ้ง กรุงเนปยีดดอ และอีกหลายเมืองทั่วประเทศ นอกจากนี้พวกเขายังใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียในการขอความช่วยเหลือจากประชาคมโลก
เหตุชุมนุมประท้วงส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิตมากกว่า 1,000 ราย และถูกจับกุมมากกว่า 5,600 คน จนถึงบัดนี้ เวลาได้ล่วงเลยมากว่า 10 เดือนแล้ว ผู้ปกครองทหารยังคงยึดอำนาจเช่นเดิม ประชาชนเคยหวังพึ่งองค์กรระหว่างประเทศอย่างสหประชาชาติ แต่ก็ดูเหมือนจะทำได้แค่ประณามการกระทำของเมียนมาและชาติตะวันตกก็ทำได้เพียงคว่ำบาตร อย่างไรก็ตามผู้ที่ได้รับผลลกระทบก็คือประชาชนเมียนมา ที่ต้องเผชิญทั้งภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและการแพร่ระบาดของโควิด-19 เมื่อกองทัพประชาชนทำอะไรไม่ได้ ก็ลุกขึ้นฝึกฝนร่างกาย จับอาวุธ และลุกขึ้นสู้กับทหาร ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิง เพราะพวกเขาคิดว่านี่เป็นหนทางสุดท้ายในการต่อต้านกองทัพเมียนมา

ทาลิบันหวนคืนอำนาจ (อีกครั้ง)
15 สิงหาคม เป็นเหมือนฝันร้ายของชาวอัฟกัน เมื่อกลุ่มติดอาวุธทาลิบันยึดครองกรุงคาบูลและประเทศอัฟกานิสถานได้อีกครั้ง หลังจากที่เคยปกครองอัฟกานิสถานเมื่อปี 1996 การตัดสินใจถอนกำลังทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถานของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา เพื่อจะยุติสงครามยาวนานครั้งประวัติศาสตร์ของสหรัฐถึง 20 ปีภายในสิ้นเดือนกันยายน เป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มทาลิบันในอัฟกานิสถานสามารถยึดเมืองต่างๆได้ก่อนจะยึดกรุงคาบูล เมืองหลวงอันเป็นที่มั่นสุดท้าย ขณะที่ประธานาธิบดีอัฟกานิสถานชิงขึ้นเครื่องเพ่นหนีออกไปก่อน 1 วัน เหตุการณ์ในวันนั้นเต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายทั่วกรุงคาบูล มีรายงานผู้คนวิ่งเหยียบกันตาย เนื่องจากทุกคนต่างมุ่งหน้าไปยังสนามบินเพื่อหวังจะได้ลี้ภัยออกจากประเทศที่สิ้นหวังแห่งนี้ ในขณะที่สหรัฐ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศสและอีกหลายประเทศ ทยอยส่งเครื่องบินมารับพลเมืองของตน และชาวอัฟกันที่ขอลี้ภัย
นับจากนั้นอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของทาลิบันเต็มไปด้วยการจำกัดสิทธิเสรีภาพ โดยเฉพาะเสรีภาพของผู้หญิง หลังจากการยึดครองของทาลิบัน ผู้หญิงไม่สามารถไปทำงานได้ นักเรียนหญิงมัธยมไม่ได้รับอนุญาตให้ไปโรงเรียน และล่าสุดห้ามผู้หญิงเล่นละครโทรทัศน์ นอกจากนี้การตั้งตนเป็นผู้ปกครองของทาลิบันซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ส่งผลให้หลายประเทศคว่ำบาตรและไม่ส่งเงินช่วยเหลือไปยังอัฟกานิสถาน การกระทำดังกล่าวซ้ำเติมความยากลำบากของชาวอัฟกันที่เผชิญทั้งปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งนานาชาติควรเร่งช่วยเหลือประชาชนชาวอัฟกันก่อนที่อะไรๆจะเลวร้ายไปกว่านี้

วิกฤตโควิด-19 ในปี 2021
ตามมาด้วยข่าวการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังคงเป็นเรื่องใหญ่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีก่อน และในปีนี้โควิด-19 ยังคงแผลงฤทธิ์อยู่เช่นเดิม ล่าสุดทั่วโลกมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมรวมกันทะลุ 260 ล้านคนแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปคือผู้คนไม่ได้ล้มตายมากเท่าปีก่อนแล้วแม้จะมีผู้ติดเชื้อมากขึ้นก็ตาม ซึ่งเป็นผลมาจากการฉีดวัคซีนต้านโควิดมที่ครอบคลุมมากขึ้น และการตรวจหาเชื้อแบบแอนติเจนที่ทำได้ง่ายและรู้ผลในทันที ด้วยสาเหตุที่กล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สหรัฐอเมริกา ยุโรปและอีกหลายประเทศเริ่มกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ระยะหนึ่ง นอกจากการฉีดวัคซีนที่แพร่หลายมากขึ้น ยังมีการผลิตยารักษาโควิดออกมาแล้วด้วย โดยมีทั้งแบบยาเม็ดและยาฉีด นับเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ล่าสุดในการรักษาโควิด-19 โดยขณะนี้มียารักษาโควิดชนิดเม็ดอยู่ 2 ยี่ห้อได้แก่ของบริษัทไฟเซอร์และของบริษัทเมอร์คซึ่งได้เปิดให้สั่งซื้อแล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อกำลังเพิ่มสูงขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลกเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโอมิครอน ซึ่งล่าสุดพบเชื้อโอมิครอนแล้วใน 117 ประเทศและดินแดนทั่วโลก ส่วนผู้ติดเชื้อโอมิครอนอยู่ที่ 188,010 คน ทั้งมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 32 ราย จากการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์ทำให้หลายประเทศทั่วโลกใช้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตวัคซีนหลายแห่งเร่งพัฒนาวัคซีนรุ่นใหม่เพื่อป้องกันเชื่อโอมิครอนโดยเฉพาะ

Advertisement

โลกร้อนโลกรวน
ปฎิเสธไม่ได้ว่าปี 2021 เป็นปีที่เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงมาก ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมและดินถล่มในแคนาดา เยอรมนีและจีน หรือไฟป่าในประเทศแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและสหรัฐอเมริกา ภัยพิบัติเช่นนี้มีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นผลของอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น ด้วยเหตุนี้ประชาคมโลกต้องเร่งแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในโดยด่วน โดยในที่ประชุมค็อป26 หรือการประชุมสุดยอดผู้นำโลกด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จัดโดยสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ที่มีผู้นำเข้าร่วมประชุมเกือบ 200 ประเทศทั่วโลก โดยมีการพูดคุยถึงเรื่องเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนภายเป็นศูนย์ในปี 2050 และการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าการประชุมที่เกิดขึ้นจะไม่ได้ทำให้ประเด็นในเรื่องโลกร้อนมีความคืบหน้านัก โดยนายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติยอมรับว่า การบรรลุเป้าหมายไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกเกิน 1.5 องศาแทบไม่มีหวังแล้วเพราะคำมั่นจากผู้นำประเทศต่างๆก็ไม่เพียงพอที่จะรักษาเป้าหมายนั้นไว้ ตราบใดที่ยังมีการใช้โรงงานไฟฟ้าถ่านหินและพลังงานฟอสซิล

การบุกรัฐสภาด้วยการปลุกระดมของทรัมป์
ในช่วงเที่ยงของวันที่ 6 มกราคม 2020 ภาพที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกาก็ได้เห็น เมื่อผู้สนับสนุนของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้นจำนวนหลายร้อยคนบุกโจมตีอาคารรัฐสภา ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตยของอเมริกา พวกเขาพยายามจะขัดขวางการนับคะแนนเพื่อรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการของนายโจ ไบเดน ที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนปีก่อน และต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้นายทรัมป์ที่อ้างว่า ตัวเองถูกพวกเดโมเครตฝ่ายซ้ายปล้นคะแนนเสียงเลือกตั้งไป หลังจากที่ก่อนหน้านี้นายทรัมป์ได้ออกมากล่าวว่าปลุกระดมให้ผู้สนับสนุนของตนออกไปแสดงพลังผ่านทางโซเชียลมีเดีย ในวันนั้นขณะที่ผู้สนับสนุนได้บุกเข้าไปในอาคาร เจ้าหน้าที่ตำรวจก็รีบอพยพเจ้าหน้าที่ออกไปจากอาคาร สุดท้ายเจ้าหน้าที่ได้เคลียร์บรรดาผู้ประท้วงออกไปจากรัฐสภาและการนับคะแนนกลับมานับต่ออีกครั้งจนเรียบร้อย ในช่วงเช้าของวันที่ 7 มกราคม นายไมค์ เพนซ์ อดีตรองประธานาธิบดีได้ประกาศรับรองชัยชนะของนายไบเดน จากเหตุการณ์อัปยศบุกรัฐสภาสหรัฐ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ประท้วงเสียชีวิต 5 ราย และบาดเจ็บกว่าร้อยคน ส่วนค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมอาคารและเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยทะลุ 30 ล้านดอลลาร์แล้วและอาจเพิ่มขึ้นอีก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image