ผลศึกษาแลนเซตเผย วัคซีนโมเดอร์นาเข็ม3 กระตุ้นแอนติบอดีได้ 32 เท่าในกลุ่มคนฉีดแอสตร้า
เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม เว็บไซต์ซีเน็ตรายงานว่า บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์เห็นตรงกันว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีอยู่ป้องกันการติดเชื้อได้ลดลงเมื่อเผชิญกับเชื้อโอมิครอน และการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นนั้นเป็นการช่วยเพิ่มการป้องกัน โดยผลการศึกษาของแลนเซตระบุว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นโมเดอร์นาสามารถป้องกันเชื้อโอมิครอนได้ดีที่สุด ซึ่งสามารถกระตุ้นแอนติบอดีได้สูงขึ้น 32 เท่าในกลุ่มคนที่ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ามาก่อน อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มกระตุ้นจะลดลงอย่างมากเมื่อผ่านไป 10 สัปดาห์ ขณะที่หลายประเทศ อย่างเยอรมนี อิสราเอลและเกาหลีใต้ ได้ลดระยะห่างในการฉีดเข็ม 3 ลง
ในแถลงการณ์สรุปของหน่วยงานความมั่นคงด้านสุขภาพของอังกฤษที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 24 ธันวาคมที่ผ่านมาระบุว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า ไฟเซอร์และโมเดอร์นา สามารถป้องกันเชื้อโอมิครอนได้หมด แต่ประสิทธิภาพน้อยกว่าเมื่อเทียบกับเชื้อเดลต้า และประสิทธิภาพจะลดลงเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป โดยประสิทธิภาพในการป้องกันลดลงจาก 60%-70% ในช่วง 2-4 สัปดาห์หลังการฉีด เหลือ 35%-45% เมื่อผ่านไป 10 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับว่าฉีดวัคซีนยี่ห้ออะไร อย่างไรก็ตามจากรายงานดังกล่าวระบุว่า การติดเชื้อโอมิครอนมีความรุนแรงน้อยกว่าเชื้อเดลต้า โดยอัตราการเข้าโรงพยาบาลจากการติดเชื้อโอมิครอนอยู่ที่ 3 ใน 5 ของอัตราเข้าโรงพยาบาลเมื่อติดเชื้อเดลต้า
ในรายงานที่เผยแพร่บนเว็บ Medrxiv ซึ่งเผยแพร่รายงานที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบ ระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ที่สถาบันเซรุ่มสตาเทนส์ ในกรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก ได้วิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพของชาวเดนมาร์ก 3 ล้านคนที่บันทึกระหว่างวันที่ 20 พฤศจิกายน – 12 ธันวาคม และพบว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนในกลุ่มผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นเมื่อ 14 – 44 วันก่อนอยู่ที่ราว 54.6% เมื่อเทียบกับอัตราหลังฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มแรก อ้างอิงข้อมูลจากรอยเตอร์
อย่างไรก็ตามรายงานดังกล่าวยังไม่ได้รับการตรวจสอบจากเพื่อนร่วมอาชีพ แต่ผลของรายงานก็เป็นไปตามข้อมูลเบื้องต้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่บ่งชี้ว่า วัคซีนเข็มกระตุ้นแบบครึ่งโดสของโมเดอร์นาสามารถเพิ่มระดับแอนติบอดีต่อเชื้อโอไมครอนได้ 37 เท่า
