‘แจ๊ก หม่า’นำเสนอผลประชุมเอซีดีภาคธุรกิจ แนะให้ความสำคัญกับคนหนุ่มสาว-ธุรกิจขนาดเล็ก

เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม นายแจ๊ก หม่า ผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มบริษัทอาลีบาบา ในฐานะตัวแทนภาคเอกชน เป็นตัวแทนนำเสนอผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย หรือเอซีดี ครั้งที่ 2 ของภาคเอกชนที่เพิ่งจบลงเมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ต่อที่ประชุมสุดยอดเอซีดี ครั้งที่ 2 ณ วิเทศสโมสร กระทรวงการต่างประเทศ

นายแจ๊ก หม่า ได้เน้นย้ำให้เห็นความสำคัญของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเอซีดีซึ่งมีจำนวนประชากรสัดส่วน 60 เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั่วโลกว่า กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทว่าปัจจุบัน ปัญหาที่มีการพูดถึงกันมากคือ โลกาภิวัตน์ โดยนายแจ๊ก หม่า ระบุว่า ปัญหาไม่ใช่โลกาภิวัตน์ แต่เป็นโลกาภิวัตน์ยังไม่สมบูรณ์ ต้องให้ครอบคลุมไปยังคนอายุน้อยและธุรกิจขนาดเล็กเพื่อเพิ่มโอกาสในการเผชิญหน้ากับความท้าทาย

นายแจ๊ก หม่ากล่าวต่อว่า การค้าทั่วโลกในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมาอยู่ในมือกษัตริย์และจักรพรรดิ ปัจจุบันการค้าทั่วโลกอยู่ในมือของ 60,000 บริษัทใหญ่ คำถามคือทำอย่างไรให้ธุรกิจขนาดเล็กอีกจำนวนมากได้มีส่วนร่วมด้วยจะช่วยแก้ปัญหาได้มาก

นายแจ๊ก หม่า ระบุว่า ในช่วง 20-30 ปีต่อไป ต้องให้โอกาสกับธุรกิจขนาดเล็ก ประเทศกำลังพัฒนา และคนอายุน้อย ให้มากขึ้น โดยในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาสัดส่วนผลประโยชน์เป็นของธุรกิจขนาดใหญ่ที่คิดเป็นสัดส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ เราจะทำอย่างไรให้ธุรกิจขนาดเล็กและประเทศกำลังพัฒนาอีก 80 เปอร์เซ็นต์ได้รับประโยชน์ ได้รับโอกาสมากขึ้น ยกตัวอย่างในอดีตมีการสร้างเส้นทางสายไหมสำหรับการค้า แต่เราจะทำอย่างไรถึงจะสร้าง “อีโร้ด” หรือเส้นทางสายอิเล็กทรอนิกส์ ให้เหมือนเส้นทางสายไหม ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ให้ทำธุรกิจง่ายขึ้น หางานง่ายขึ้น ค้าขายง่ายขึ้น

Advertisement

นอกจากนี้ แจ๊ก หม่า ยังพูดถึงอนาคตด้วยโดยระบุว่า การปฏิวัติเทคโนโลยีในแต่ละช่วงเวลา จะใช้เวลา 50 ปี 20 ปีแรกนั้นผ่านไปแล้วเป็นเรื่องของอินเตอร์เน็ต อีก 30 ปีต่อไป เป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเราจะมีการค้าปลีกแบบใหม่ที่จะมีทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ จะมีสิ่งที่เรียกว่า อินเตอร์เน็ตในสรรพสิ่ง (ไอโอที) จะมีระบบการเงินรูปแบบใหม่ทีครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งนอกจากมีเทคโนโลยีใหม่แล้ว จะมีทรัพยากรใหม่ด้วยนั่นก็คือ “ดาต้า” หรือข้อมูล

แจ๊ก หม่าระบุว่า จีนใช้อินเตอร์เน็ตได้ดี ไม่มีใครเชื่อว่าจีนจะเติบโตในด้านอีคอมเมิร์ซได้อย่างมากในรอบ 15 ปีที่ผ่านมา ในอดีตจีนมีโครงสร้างพื้นฐานในการทำธุรกิจที่แย่ แต่ในปัจจุบันการทำธุรกิจผ่านอีคอมเมิร์ซในจีนกลายเป็นแนวทางหลักไปแล้ว เหตุผลเพราะผู้คน 4 พันล้านคนใช้โทรศัพท์มือถือเชื่อมต่อเข้าหากันทำให้ค้าขายได้ทุกที่ ยุคอุตสาหกรรมจะเน้นทักษะ มาตรฐาน แต่ยุคดาต้านั้นจะเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัว และเป็นยุคของการแข่งขันด้านความคิดและความฉลาดทำให้ธุรกิจขนาดเล็กสามารถเอาชนะได้ถ้าสามารถใช้โอกาสได้

แจ๊ก หม่า พูดเรื่องเทคโนโลยีที่ส่งผลกับตำแหน่งงานด้วยว่า ใครคิดว่าเทคโนโลยีจะแย่งงานนั้นเป็นความคิดแบบล้าหลัง แต่จริงๆ แล้วมันเพิ่มงาน อาลีบาบา สร้างงาน 30 ล้านตำแหน่งในจีน เมื่อจีนทำได้ ทำไมที่อื่นในโลก ในเอเชียจะทำไม่ได้

Advertisement

แจ๊ก หม่าย้ำด้วยว่า เอเชียเป็นทวีปสำคัญที่ ช่วยเพิ่มความเท่าเทียมและสู้กับความยากจน ไม่เพียงแต่เป็นทวีปที่เติบโตมากที่สุดแต่เป็นประเทศที่แก้ปัญหาความยากจนได้ด้วย เช่นจีนและไทย ที่มีอัตราความยากจนต่ำกว่า 0.5 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา อัตราการว่างงานไทยถือว่าต่ำที่สุดชาติหนึ่ง อีกตัวอย่างคือโมฮัมหมัด ยูนุส ที่ใช้เวลา 40 ปีในการแก้ปัญหาความยากจนด้วยการเปิดโอกาสให้คนจนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้

แจ๊ก หม่าระบุว่า ทุกรัฐบาลประกาศจะช่วยธุรกิจขนาดเล็กแต่ไม่ใช่ทุกรัฐบาลที่รู้วิธีแก้ปัญหา พร้อมแนะว่าวิธีแก้ปัญหาคือต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินเพื่อสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็ก โดยยกตัวอย่างบริษัทแอนท์ไฟแนนเชียล ในเครือของอาลีบาบา ซึ่งให้ธุรกิจขนาดเล็กกู้ยืมเงินกว่า 3 ล้านแห่ง มูลค่ารวม 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่การช่วยเหลือที่ได้ผลไม่ใช่จำนวนเงินแต่เป็นวิธีการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลโดยจะใช้เวลาเพียง 3 นาทีในการพิจารณาเงินกู้ และเพียง 1 วินาทีเงินก็จะเข้าบัญชีของธุรกิจนั้นเลย

ทั้งนี้ แจ๊ก หม่าได้ให้ข้อแนะนำกับรัฐบาลของประเทศต่างๆ ระบุว่า ควรมีนโยบายในอีก 20 ปีข้างหน้า ให้กับคนที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี และมีนโยบายให้กับบริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 30 คน นอกจากนี้ ต้องคิดถึงการปรับปรุงระบบการศึกษา ให้เยาวชนได้มีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น การศึกษาจะไม่ใช่เรื่องของความรู้อย่างเดียวแต่จะเป็นเรื่องของนวัตกรรมและจินตนาการ ขณะที่เอเชียไม่เพียงจะนำด้านเทคโนโลยี แต่จะนำด้านวัฒนธรรมด้วย ตะวันตกขับเคลื่อนโดยความรู้ วิทยาศาสตร์ แต่ตะวันออกจะขับเคลื่อนโดยสติปัญญาและสัญชาตญาณ ตะวันตกขับเคลื่อนโดยการแข่งขัน ว่าจะร่วมหรือไม่ สู้หรือไม่ ตะวันออกมีความอดกลั้นและเปิดกว้างมากกว่า เป็นเรื่องที่ตะวันตกสามารถเรียนรู้จากตะวันออกได้ด้วย

แจ๊ก หม่าสรุปในช่วงท้ายว่า อนาคตจะไม่ใช่ตะวันตก ตะวันออก เทคโนโลยีสูง ต่ำ แต่จะเป็นการหลอมรวมระหว่างเทคโนโลยีสูงและต่ำ เป็นวัฒนธรรมที่หลอมรวมตะวันตกและตะวันออก แต่เป็นใครที่จะเดินไปในเส้นทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และยั่งยืนมากกว่ากัน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image