ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ยันประเทศต้องพัฒนานิวเคลียร์เพื่อสันติ ชี้จำเป็นต่ออิสรภาพ หวังเจรจายุติการคว่ำบาตร
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมนี ผู้นำสูงสุดของประเทศอิหร่าน ได้ออกมาเปิดเผยผ่านสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นในวันเดียวกัน ระบุว่า อิหร่านจะพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติต่อไปเพื่อคงไว้ซึ่งอิสรภาพของประเทศ โดยการเปิดเผยดังกล่าวมีขึ้นระหว่างที่อิหร่าน กำลังหารือกับสหรัฐอเมริกาและมหาอำนาจตะวันตกเพื่อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ทำเอาไว้เมื่อปี 2015 ขึ้นมาอีกครั้ง
“เราจำเป็นจะต้องมีพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติในไม่ช้านี้หรือไม่ก็ในอนาคตข้างหน้า หากเราไม่ทำมันจะส่งผลกระทบกับอิสรภาพของเรา” คาเมนี ระบุ โดยความเห็นดังกล่าวเป็นไปตามแนวทางแข็งกร้าวของทีมเจรจาของอิหร่านในกรุงเวียนนา
คาเมนี ระบุด้วยว่า “ความพยายามทางการทูตโดยพี่น้องนักปฏิวัติของเราในความพยายามเพื่อยุติคว่ำบาตรเป็นเรื่องดี แต่งานหลักคือการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมด”
ตั้งแต่เดือนเมษายน อิหร่านและสหรัฐอยู่ระหว่างการหารือกันแบบมีตัวกลางที่กรุงเวียนา ประเทศออสเตรีย เนื่องจากหวั่นเกรงว่าอิหร่านจะกลับมาพัฒนานิวเคลียร์ในประเทศอีกครั้ง โดยชาติตะวันตกหวั่นเกรงว่าอาจจะไม่สามารถหยุดยั้งได้อีกหากไม่มีการทำข้อตกลงกันให้ได้ในเร็วๆนี้
ทั้งนี้ชาติอื่นๆที่ร่วมในข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน เป็นตัวกลางในการเจรจาระหว่างสหรัฐอเมริกา และอิหร่าน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นำสหรัฐถอนตัวไปจากข้อตกลงเมื่อปี 2018 โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 วันข้างหน้าเป็นช่วงเวลาสำคัญว่าจะสามมารถตกลงปิดช่องว่างลงได้หรือไม่
นับตั้งแต่ปี 2019 อิหร่าน เริ่มสะสมยูเรเนียมที่ถูกเสริมสมรรถนะเพิ่มขึ้นจนเกินกว่าข้อจำกัดตามข้อตกลงเดิม มีการเพิ่มความเข้มข้นของยูเรเนียม และติดตั้งเครื่องหมุนเหวี่ยงที่มีความทันสมัยมากขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิต
ทั้งนี้ข้อตกลงในปี 2015 จำกัดการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่าน ที่จะทำให้อิหร่านมีวัตถุดิบสำหรับผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ยากขึ้น เพื่อแลกกับการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ
ขณะที่ผู้นำสูงสุดอิหร่าน ระบุมาโดยตลอดว่าอิหร่านไม่เคยคิดที่จะผลิตอาวุธนิวเคลียร์แม้จะมีข้อกล่าวหามาจาก “ศัตรู” ของอิหร่านก็ตาม