ฮือฮา! อิรัก เจอแล้งจัดน้ำลด เมืองโบราณ 3,400 ปี โผล่
ซีเอ็นเอ็น รายงานเมื่อวันที่ 20 มิถุนายนที่ผ่านมา ระบุว่า นักโบราณคดีค้นพบเมืองโบราณอายุเก่าแก่ถึง 3,400 ปีที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำหลังจากเกิดภัยแล้งอย่างหนัก ทำให้น้ำในอ่างเก็บน้ำของประเทศอิรักลดระดับลงไป
แหล่งโบราณคดีแห่งใหม่ดังกล่าวมีชื่อว่า “เคมูเน” (Kemune) อยู่ในอ่างเก็บน้ำโมซุล ริมฝั่งแม่น้ำไทกรีซ ในเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน ตอนเหนือของประเทศอิรัก โดยนักโบราณคดีเชื่อว่าเมืองแห่งนี้คือเมือง “ซากีกู” (Zakhiku) ที่รุ่งเรืองอยู่ในยุคสัมฤทธิ์ (Bronze Age) เป็นศูนย์กลางสำคัญของจักรวรรดิมิตตานี (Mittani Empire) ที่เรืองอำนาจในช่วง 1,550-1,350 ปีก่อนคริสตกาล โดยจักวรรดิดังกล่าวมีอาณาเขตกว้างไกลจากทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไปยังตอนเหนือของประเทศอิรัก
ทั้งนี้ เมืองซากีกูจมอยู่ใต้น้ำนับตั้งแต่รัฐบาลอิรักก่อสร้างเขื่อนโมซุลขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 80 และไม่เคยโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเลยนับตั้งแต่นั้น และเมื่อมีข่าวว่าเมืองดังกล่าวโผล่ขึ้นเหนือน้ำ นักโบราณคดีจึงต้องเร่งศึกษาเมืองแบบแข่งกับเวลาเนื่องจากไม่ชัดเจนว่าน้ำจะเพิ่มระดับขึ้นอีกเมื่อใด
ทั้งนี้ เมืองซากีกูเคยโผล่พ้นน้ำมาช่วงสั้นๆ เมื่อปี 2018 ก่อนจะจมลงไปและการขุดค้นหลังจากเมืองโผล่พ้นน้ำครั้งล่าสุดเมื่อเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น ทำให้นักโบราณคดีตรวจสอบพบป้อมปราการ หอคอย กำแพง และอาคารคลังสินค้าที่สร้างสูงขึ้นไปหลายชั้นได้มากขึ้น
นักวิจัยระบุว่า โครงสร้างอาคารส่วนใหญ่นั้นสร้างจากอิฐที่ทำขึ้นจากดินโคลน ซึ่งก็ไม่สามารถทนกับการจมอยู่ใต้น้ำได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมืองซากีกูก็เคยเผชิญกับแผ่นดินไหวในช่วงปี 1350 ก่อนคริสตกาลด้วยส่งผลให้กำแพงด้านบนถล่มลงมาทับตัวอาคารด้านล่าง
นักวิจัยระบุว่า การขุดค้นครั้งล่าสุดทำให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้คนในเมืองซากีกูได้มากขึ้น เช่น การค้นพบแจกันเซรามิก 5 ใบที่เก็บแผ่นดินสลักอักษรรูปลิ่ม (cuneiform) ที่ย้อนกลับไปในช่วงเดียวกับที่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหว และเชื่อว่าแผ่นดินแกะสลักดังกล่าวจะมาจากยุคจักวรรดิอัสซีเรียนยุคกลาง ที่เรืองอำนาจในช่วง 1350-1100 ก่อนคริสตกาล และนั่นอาจเป็นให้ข้อมูลเกี่ยวกับกับการสิ้นสุดของเมืองซากีกู รวมไปถึงการผงาดขึ้นมาของจักรวรรดิอัสซีเรียนในพื้นที่ได้
นักวิจัยระบุว่า เป็นเรื่องปาฏิหาริย์ที่แผ่นดินแกะสลักตัวอักษรดังกล่าวซึ่งไม่ได้มีการเผาไฟรอดพ้นจากการจมอยู่ใต้น้ำได้ ล่าสุดยังไม่ได้มีการถอดรหัสตัวอักษรดังกล่าว แต่ตั้งสมมุติฐานไว้ว่าอาจจะเป็นสิ่งของส่วนตัวของชาวเมือง โดยสิ่งของทั้งหมดที่พบรวมถึงแผ่นดินแกะสลักดังกล่าวถูกนำไปเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติดูฮอก (Duhok) ในเขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน ประเทศอิรัก