เปิดเส้นทางชีวิต อดีตผู้นำมาเลเซีย ‘นาจิบ ราซัก’ จากนายกฯสู่นักโทษ

การให้สัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของนาจิบ ราซัก ก่อนศาลจะตัดสินยืนคำพิพากษา ซึ่งทำให้มีการส่งตัวเขาเข้าคุกเพื่อรับโทษทันที / REUTERS

เปิดเส้นทางชีวิตอดีตผู้นำมาเลเซีย ‘นาจิบ ราซัก’ จากนายกฯสู่นักโทษ

นายนาจิบ ราซัก อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของมาเลเซียยาวนานถึง 9 ปี กลายเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศที่ต้องโทษจำคุก หลังศาลสูงสุดมาเลเซียตัดสินยืนตามคำพิพากษาของศาลว่าเขามีความผิดจริงตามข้อหารับเงินที่ถูกยักยอกมาจากกองทุน 1เอ็มดีบี อันอื้อฉาว ส่งผลให้เขาถูกนำตัวออกจากศาลไปรับโทษจำคุก 12 ปีทันทีเมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา

จากบุตรชายของหนึ่งในอดีตผู้ร่วมก่อตั้งประเทศมาเลเซีย และได้รับการเลี้ยงดูเพื่อให้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ยังเยาว์วัย ซึ่งเขาก็เดินไปตามเส้นทางชีวิตอันสวยงามตามความคาดหมาย กระทั่งชีวิตต้องประสบความพลิกผันอันไม่คาดคิดจากการทุจริตฉ้อฉลของตนเองในที่สุด

นาจิบพ่ายแพ้การเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2561 อย่างน่าตกใจ ทำให้เขาต้องเผชิญกับการดำเนินคดีของรัฐบาลชุดใหม่ เกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการรับสินบนของเขาและ นางรอสมาร์ มันซอร์ ภริยา ซึ่งใช้ชีวิตอย่างหรูหราท่ามกลางข้าวของราคาแพงจนถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตั้งแต่ครั้งที่สามีของเธอยังเรืองอำนาจ ครั้งหนึ่งรอสมาร์เคยบ่นว่าเธอต้องเสียค่าจ้างสไตลิสต์ถึง 1,200 ริงกิต หรือเกือบหมื่นบาท ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือนของมาเลเซียเวลานั้นอยู่ที่เพียง 900 ริงกิต

ขณะที่การบุกค้นบ้านพักของครอบครัวราซักในเวลาต่อมา ก็ยิ่งสร้างความตื่นตะลึงกับทรัพย์สินมากมายมหาศาล และข้าวของเครื่องใช้สุดหรูที่ถูกยึดมาได้ ที่ยิ่งตอกย้ำความเชื่อว่าตลอดเวลาที่โลดแล่นอยู่ในแวดวงการเมืองมาเลเซีย นายนาจิบน่าจะเบียดบังทรัพย์สินจำนวนมากเข้ากระเป๋าตนเอง

Advertisement

ในปีเดียวกับที่แพ้เลือกตั้ง นายนาจิบถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงจากการใช้อำนาจโดยมิชอบ ฟอกเงิน และมีความผิดในคดีอาญาฐานละเมิดความไว้วางใจจากการทุจริตที่พัวพันกับกองทุน 1เอ็มดีบี เกี่ยวกับการโอนเงินราว 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 360 ล้านบาท จากเอสอาร์ซี อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กองทุน 1เอ็มดีบี เข้าไปยังบัญชีส่วนตัวของตนเอง

ภาพที่ปรากฎขึ้นที่กรุงกัวลาลัมเปอร์วานนี้ สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อครั้งที่เขาก้าวขึ้นรับตำแหน่งผู้นำมาเลเซียคนใหม่ในปี 2552 ที่นายนาจิบเป็นความหวังของชาวมาเลเซียจำนวนมากที่อยากเห็นการจบลงของวิธีปกครองแบบกดขี่ ซึ่งใช้โดยกลุ่มพันธมิตรการเมืองภายใต้การนำขององค์การมลายูรวมแห่งชาติ หรืออัมโน พรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศที่ปกครองมาเลเซียมานานถึง 6 ทศวรรษ

ตอนแรกนาจิบชูภาพว่าเขามีมุมมองทางการเมืองแบบเสรีนิยม และปรับเปลี่ยนกฎหมายความมั่นคงที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้จัดการกับผู้เห็นต่าง กระนั้นก็ดีชาวมาเลเซียหลายคนมองว่า นายนาจิบซึ่งได้รับการศึกษาในอังกฤษเป็นชนชั้นสูงที่อยู่ห่างไกลจากโลก และมีความเข้าใจกับชีวิตของคนทั่วไปเพียงน้อยนิด

Advertisement

ขณะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมเมื่อปี 2545 นายนาจิบเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการซื้อเรือดำน้ำของฝรั่งเศสว่า มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะจำนวนมากให้กับเจ้าหน้าที่มาเลเซีย ตามด้วยข่าวฉาวเกี่ยวกับการฆาตกรรมหญิงชาวมองโกเลีย ซึ่งที่สุดแล้วมีเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียถูกตัดสินว่าทำผิด 2 นาย แต่ไม่อาจจบความสงสัยว่านายนาจิบและนางรอสมาร์มีส่วนพัวพันกับการฆาตกรรมที่เกิดขึ้น

แม้จะเผชิญกับข่าวฉาวมากมาย แต่ฟางเส้นสุดท้ายที่นำไปสู่การล่มสลายของนายนาจิบคือกองทุน 1เอ็มดีบี ซึ่งเป็นกองทุนที่นายนาจิบตั้งขึ้นในปี 2552 ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจมาเลเซีย

เพียงไม่นานหลังนาจิบชนะเลือกตั้งสมัยที่ 2 ในปี 2556 กองทุน 1เอ็มดีบี ที่เคยเป็นความหวังอันสดใสก็กลายเป็น “จุดตาย” ที่นายนาจิบคาดไม่ถึง หลังมีการเปิดเผยว่ามีเงินจำนวนมหาศาลสูญหายไปจากกองทุนดังกล่าว

สำนักงานปราบปรามการทุจริตแห่งชาติของมาเลเซียพบข้อมูลว่า มีเงินมากถึง 681 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 24,000 ล้านบาท ถูกโอนเข้าไปในบัญชีส่วนตัวของนายนาจิบ ซึ่งเชื่อว่าเป็นเงินที่ถกยักย้ายถ่ายโอนมาจากกองทุน 1เอ็มดีบี ก่อนที่นายนาจิบจะพ้นผิดในคดีทุจริตเมื่อมีการยืนยันว่า เงินก้อนดังกล่าวเป็นเงินบริจาคส่วนตัวจากราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย พร้อมกับมีการสั่งปิดคดีนี้อย่างรวดเร็ว

แม้คดีจะยุติลง แต่ความเคลือบแคลงของสังคมกลับยิ่งขยายวงกว้าง ข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการทุจริตกองทุน 1เอ็มดีบี นำไปสู่การพ่ายแพ้เลือกตั้งในปี 2561 ของเขา และชัยชนะของ ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด การเลือกตั้งครั้งนั้นก็นำไปสู่การเดินหน้าสอบสวนความผิดของนายนาจิบตามมา

เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่า ผู้ติดตามของนายนาจิบใช้เงินหลายร้อยล้านดอลลาร์ในกองทุน 1เอ็มดีบี เพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ทั้งในนครลอนแองเจลิส นิวยอร์ก และกรุงลอนดอน ด้านหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า นางรอสมาร์ยังใช้เงินหลายล้านดอลลาร์เพื่อซื้อเครื่องประดับอีกด้วย

เงินจากกองทุน 1เอ็มดีบี ยังถูกนำไปซื้อภาพวาดของศิลปินระดับโลกอย่าง โคลด์ โมเนต์ 35 ล้านดอลลาร์ ภาพวาดของวินเซนต์ แวนโก๊ะ 5.5 ล้านดอลลาร์ เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวบอมบาร์เดียร์มูลค่า 35 ล้านดอลลาร์ รวมถึงการจ่ายเงินเพื่อสร้างภาพยนตร์ฮอลีวู้ดเรื่อง “The Wolf of Wall Street” ในปี 2556 ที่มีลูกเลี้ยงของนายนาจิบเป็นโปรดิวเซอร์

แม้นายนาจิบจะปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าเขาไม่ได้ทำผิดตามที่ถูกกล่าวหา และพยายามดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้หลุดพ้นจากความผิดที่ถูกศาลตัดสินไปแล้ว ซึ่งเป็นเพียงคดีแรกจากอีกหลายคดีที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา ภายใต้ความหวังว่าเขาจะสามารถกลับมาโลดแล่นในเวทีการเมืองมาเลเซียได้อีกครั้ง

ท้ายที่สุด อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 69 ปี ผู้เคยเรืองอำนาจและเกิดมาท่ามกลางความพรั่งพร้อมก็กลายเป็นคนคุก โดยครอบครัวของเขาบอกว่า นายนาจิบถูกนำตัวไปยังเรือนจำกาจัง ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงกัวลาลัมเปอร์

ปิดฉากชีวิตทางการเมืองของนายนาจิบลงอย่างสิ้นเชิง ด้วยน้ำมือของเขาเอง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image