ปธน.ศรีลังกายื่นสภาพิจารณางบ ก่อนหารือไอเอ็มเอฟ หวังเงินช่วยเหลือ 1.08 แสนล้านบาท
นายรานิล วิกรมสิงเห ประธานาธิบดีศรีลังกาจะเสนองบประมาณรายจ่ายชั่วคราวต่อรัฐสภาในวันที่ 30 สิงหาคม ก่อนหน้าที่จะมีการเจรจากับเจ้าหน้าที่ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ที่เดินทางมาถึงศรีลังกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในวันที่ 31 สิงหาคมที่จะถึงนี้ ด้วยหวังว่าประเทศจะได้รับการอนุมัติเงินช่วยเหลือจำนวน 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.08 แสนล้านบาท เพื่อแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจที่แย่ที่สุดตั้งแต่ศรีลังกาได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อปี 1948
นายวิกรมสิงเหให้ข้อมูลกับสำนักข่าวรอยเตอร์ในเดือนนี้ว่า งบประมาณในครั้งนี้จะมีการตัดค่าใช้จ่ายราวหลายแสนล้านรูปี ซึ่งจะรวมถึงงบประมาณทางการทหารและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งงบประมาณของศรีลังกาในปีงบประมาณที่แล้วที่ยื่นต่อรัฐสภาเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.9 ล้านล้านรูปี หรือราว 396,000 ล้านบาท
อีกทั้ง ยังมีการคาดการณ์ว่านายวิกรมสิงเหจะวางแนวทางมาตรการเพื่อช่วยเหลือช่วยชุมชนที่มีรายได้ต่ำที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตเศรษฐกิจ และจะประกาศอัตราการเก็บภาษีแบบใหม่เพื่อลดปัญหาการขาดดุลทางการเงินซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่ 9.9% จากราว 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศด้วยงบประมาณรายจ่ายชั่วคราวที่จะใช้ในการแก้วิกฤตของประเทศในเวลาที่เหลือของปี ในขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า เป้าหมายดังกล่าวเป็นเรื่องที่เกินตัว เนื่องจากมีการประเมินว่าเศรษฐกิจของศรีลังกาจะถดถอยราว 8% ในปีนี้
นายเชอฮาน คูเรย์ หัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Acuity Stockbrokers กล่าวว่าปัญหาของศรีลังกาที่มีมายาวนานคือการที่งบประมาณไม่สัมพันธ์กับรายได้และการขาดดุลทางการเงิน ดังนั้นงบประมาณนี้จะต้องมุ่งไปที่การจัดทำบัญชีตามพื้นฐานของรายได้ที่เหมาะสม
ทั้งนี้ ศรีลังกาได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้การทำเงินจากภาคการท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศต้องขาดหายไป อีกทั้งยังถูกตอกย้ำด้วยราคาน้ำมันที่สูงขึ้น การยกเลิกการจัดเก็บภาษีจากนโยบายประชานิยม และการระงับการนำเข้าปุ๋ยเคมีที่ส่งผลเสียอย่างมากต่อภาคการเกษตร ส่งผลให้ศรีลังกาเผชิญหน้ากับภาวะการขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานเรื้อรัง ราคาสินค้าที่ดีดตัวสูงเกินจับต้อง และการจลาจลของประชาชนที่ไม่พอใจการบริหารของรัฐบาลจนนายโคฐาภยะ ราชปักษะ อดีตประธานาธิบดีศรีลังกา ต้องหนีออกนอกประเทศ ทิ้งปัญหาคาราคาซังและหนี้ที่รอการปรับโครงสร้างกับจีนอีกหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ
