ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ระบุว่าจะสร้างกำแพงกั้นตลอดแนวชายแดนระหว่างสหรัฐกับเม็กซิโกเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อพยพชาวเม็กซิกันลักลอบหลบหนีข้ามพรมแดนเข้ามายังสหรัฐได้ ที่นับว่าเป็น 1 ในนโยบายที่เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง
ถึงตอนนี้ หลังจากที่นายทรัมป์ชนะการเลือกตั้งแล้ว ทีมสถาปนิกชาวเม็กซิกันจาก สำนักงานออกแบบเอสตูดิโอ 3.14 ในเมืองกวาดาลาฮารา รัฐฮาลิสโก ประเทศเม็กซิโก ได้จัดทำแบบร่าง 3 มิติขึ้นมาคร่าวๆ ให้ดูว่า กำแพงของนายทรัมป์ที่ยาว 1,954 ไมล์ (3,144.65 กิโลเมตร) ตลอดแนวชายแดน 2 ประเทศ ในความเป็นจริงแล้วน่าจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม นอร์เบร์โต มิรันดา ผู้ออกแบบระบุว่า จุดประสงค์ของการร่างแบบ 3 มิติดังกล่าวขึ้นมามีขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่ากำแพงที่ว่านี้แทบจะไม่สามารถสร้างขึ้นได้เลยในความเป็นจริง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เป็นเทือกเขาทอดยาวในพื้นที่บริเวณดังกล่าวทำให้การก่อสร้างเป็นงานที่ยากมาก
และจากการที่หลายๆ คนได้ให้เหตุผลว่า ต้นทุนการก่อสร้างกำแพงจะสูงมาก และประธานาธิบดีเอ็นริเก เปนญา นีเอโต ของเม็กซิโกระบุว่า ประเทศของเขาจะไม่มีทางจ่ายเงินค่าสร้างกำแพงอย่างเด็ดขาด
จากการประเมินของซีเอ็นบีซีและการวิเคราะห์ของโพลิติโก ระบุว่าต้นทุนในการก่อสร้างกำแพงดังกล่าวสำหรับรัฐบาลสหรัฐจะอยู่ที่ระหว่าง 15,000-25,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 531,000-885,000 ล้านบาท) การบำรุงรักษาและการจ้างเจ้าหน้าที่สำหรับลาดตระเวณบริเวณกำแพง 21,000 คนจะทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 2,100 ล้านดอลลาร์ต่อปี (ราว 74,000 ล้านบาท) ซึ่ง 3.14 เอสตูดิโอ ออกแบบ 3 มิติของกำแพงดังกล่าวนี้ตามตัวเลขงบประมาณข้างต้น
นี่คือแบบ 3 มิติที่บอกเราว่า กำแพงของนายทรัมป์จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ทีมสถาปนิกจินตนาการถึงกำแพงสีชมพู เนื่องจากนายทรัมป์กล่าวย้ำไว้หลายครั้งว่า กำแพงของเขาจะต้องดูสวยงาม
การออกแบบยังได้รับแรงบันดาลใจจากผลงานของหลุยส์ บารร์ากัน สถาปนิกชื่อดังของเม็กซิโกที่มีชื่อเสียงด้านการออกแบบกำแพงผนังปูนฉาบที่ใช้สีสันสดใส
กำแพงดังกล่าวจะยาวตั้งแต่ชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกไปจนถึงชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก
ภายในจะประกอบไปด้วยเรือนจำที่จะคุมขังผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมาย 11 ล้านคนที่นายทรัมป์วางแผนจะเนรเทศออกนอกประเทศ
นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เป็นโรงงานสำหรับซ่อมบำรุงเรือนจำและตัวกำแพง
และยังอาจสามารถสร้างช้อปปิ้งมอลล์ไว้บริเวณดังกล่าวได้ด้วย
อย่างไรก็ตามเทือกเขาบริเวณชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโกจะทำให้การก่อสร้างแทบเป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติและจะมีต้นทุนสูงมาก เนื่องจากพื้นที่บริเวณดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นเขตป่าทึบและแห้งแล้ง และด้วยความท้าทายทางภูมิศาสตร์นี้ทำให้ต้องใช้เวลาในการก่อสร้างถึงราว 16 ปี
